นิราศนครวัด
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
![]() |
|
นิราศนครวัด | |
---|---|
กวี : | สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ |
ประเภท : | นิราศ, สารคดี |
คำประพันธ์ : | ร้อยแก้ว |
ความยาว : | 231 หน้า |
สมัย : | รัตนโกสินทร์ |
ปีที่แต่ง : | พ.ศ. 2468 |
ชื่ออื่น : | |
ลิขสิทธิ์ : | - |
![]() |
นิราศนครวัด เป็นนิราศร้อยแก้วเพียงเรื่องเดียวในบรรดาวรรณคดีของไทยทั้งหมด เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นักปราชญ์คนสำคัญของเมืองไทย นับเป็นหนังสือเล่าเรื่องเชิงประวัติศาสตร์และโบราณคดีเล่มแรกๆ ของไทย
[แก้] ประวัติ
เดิมนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตั้งพระทัยจะแต่ง นิราศนครวัด นี้เป็นนิราศอย่างธรรมเนียมการแต่งนิราศโดยทั่วไป ทว่าด้วยทรงเปลี่ยนพระทัย มาแต่งเป็นร้อยแก้ว ดังความปรากฏอยู่แล้วในบทกลอนก่อนเข้าเรื่องนิราศนครวัด ซึ่งทรงเขียนไว้ว่า “กลอนนิราศนครวัด” ฉะนั้น ด้วยเจตนาของผู้ประพันธ์ เราอาจเรียก นิราศนครวัด นี้ ว่าเป็นนิราศคำกลอนก็คงจะได้ ด้วยทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า “มีกลอนนำสักนิดเหมือนติดแวว พอเนื่องแนวแบบนิราศปราชญ์โบราณ / มิฉะนั้นจะว่าไม่ใช่นิราศ ด้วยเหตุขาดคำกลอนอักษรสาร”
ปีที่แต่งนั้น คงจะเป็น พ.ศ. 2468 เนื่องจากเป็นการเล่าเหตุการณ์ที่เสด็จประพาสกัมพูชา ช่วงปลายปี พ.ศ. 2467 (16 พฤศจิกายน – 14 ธันวาคม) แต่ที่ท้าย “กลอนนิราศนครวัด” ต้นเรื่อง “นิราศนครวัด” นี้ ลงวันที่ 31 มีนาคม 2467 (เป็นการนับแบบเก่า หากนับแบบใหม่ จะถือเป็น พ.ศ. 2468 แล้ว)
[แก้] เนื้อหา
เมื่อ วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงมีโอกาสเสด็จส่วนพระองค์ไปยังประเทศกัมพูชา โดยเสด็จไปทางเรือ ออกจากท่าเรือบริษัทอิสต์อาเซียติค ข้างเหนือวัดพระยาไกร โดยมีผู้ตามเสด็จไปด้วยคือ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย, หม่อมเจ้าหญิงพิลัยเลขา และหม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ พระธิดา นอกจากนี้ยังมีพระยาพจนปรีชา (ม.ร.ว.สำเริง อิศรศักดิ์ ณ อยุธยา), หลวงสุริยพงศพิสุทธิแพทย์ (กระจ่าง บุนนาค) ซึ่งเป็นแพทย์และล่าม, ศาสตราจารย์ยอช เซเดส์ (บรรณารักษ์ใหญ่ในหอพระสมุดสำหรับพระนคร) เป็นมัคคุเทศก์ นายสมบุญ โชติจิตร เป็นเสมียน และนายเดช คงสายสินธุ์ เป็นมหาดเล็กรับใช้ รวม 9 คน กับครอบครัวของศาสตราจารย์ยอช อีก 5 คน รวมทั้งสิ้น 14 คน
เรือโดยสารนี้ชื่อว่า เรือสุทธาทิพย์ แล่นจากท่าเรือในกรุงเทพฯ ออกไปถึงสมุทรปราการ ออกทะเล ผ่านเกาะช้าง และเกาะกูด แล้วไปเทียบท่าขึ้นฝั่งที่เมืองกำปอดของกัมพูชา ในวันที่ 18
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าถึงการเดินทาง และสิ่งที่ได้พบเห็นในกัมพูชา ตามลำดับเวลาที่ได้เสด็จไป เบื้องต้นได้ทอดพระเนตรสถานที่ต่างๆ ในกรุงพนมเปญ เล่าเรื่องและตำนานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นเสด็จไปยังพิพิธภัณฑสถาน และชมพระที่นั่งต่างๆ ทั้งนี้ได้ลำดับทำเนียบพระสมณศักดิ์ของพระราชาคณะกัมพูชา เล่าเรื่องพระราชพิธีประจำปี และคำถวายอติเรก ฯลฯ
จากนั้นได้เสด็จไปเมืองเสียมเรียบ เพื่อทอดพระเนตรปราสาทนครวัด ทรงเล่าเรื่องและอธิบายประวัติเกี่ยวกับปราสาทนครวัด และปราสาทหินอื่นๆ โดยละเอียด นับได้ว่าเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ของไทยที่ใช้อ้างอิงเกี่ยวกับปราสาทหินของเขมรได้ ทั้งนี้ด้วยความสนพระทัยส่วนพระองค์อยู่แล้ว และยังมีศาสตราจารย์ยอช เซเดส์ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นมัคคุเทศก์ด้วย
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และคณะได้พักที่บ้านของเมอสิเออ บอดูแอง เรสิดังสุปีริเอกรุงกัมพูชา (เวลานั้นกัมพูชาอยู่ในการดูแลของฝรั่งเศส) แม้ว่าจะเสด็จไปเป็นการส่วนพระองค์ แต่พระองค์และคณะก็ได้รับการต้อนรับจากหลายฝ่ายด้วยดี (ดังปรากฏในกลอนนิราศที่ทรงแต่งไว้) ทั้งนี้ยังได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีสวัสดิ์ พระเจ้ากรุงกัมพูชา
เมื่อมีเวลาในช่วงท้ายของการเดินทาง ชาวคณะของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เดินทางไปยังเมืองไซ่ง่อน เนื่องจากเวลานั้นเพิ่งมีถนนตัดใหม่จากกรุงพนมเปญ เมืองไซ่ง่อนของเวียดนาม ภายใต้การกำกับดูแลของฝรั่งเศสในเวลานั้น มีร้านรวงและห้างขายของใหม่ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองของเวียดนามมาเฝ้ารับเสด็จด้วยดีเช่นเดียวกับในกัมพูชา ทั้งนี้ได้เสด็จไปทอดพระเนครละครโอเปร่า และทอดพระเนตรหนังฉาย ทั้งหนังข่าวและหนังเรื่อง มี “เรื่องตลกฮาโรลด์ลอยด์ (แว่นตาโต) เรื่องหนึ่ง”
เมื่อกลับถึงพนมเปญ ยังได้เสด็จไปทอดพระเนตรการแสดงละครของเขมร ซึ่งนิยมเล่นละครอย่างของไทย เรื่องพระสมุทร ทรงถึงการแต่งตัว เปรียบเทียบกับละครของไทยด้วย ก่อนเสด็จกลับยังได้พบกับคนไทยที่เคยเป็นครูละครหรือพนักงานในวังที่กรุงเทพฯ มาอาศัยในกัมพูชา 30-40 ปี ทรงเคยรู้จักหรือคุ้นเคยอยู่บ้าง
คณะของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร โดยเส้นทางเดิม แต่โดยสารเรืออีกลำหนึ่ง ชื่อเรือวลัย ถึงกรุงเทพฯ วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2467
นิราศนครวัด เป็นหนังสือดีที่มีเกร็ดประวัติศาสตร์และโบราณคดีหลายเรื่องด้วยกัน ทั้งยังบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ของไทยในอดีต ผู้ที่ได้อ่านนอกจากจะได้ความเพลิดเพลินอย่างอ่านหนังสือนำเที่ยวแล้ว ยังได้ความรู้หลากหลาย ตามรสนิยมของปราชญ์ผู้ทรงพระนิพนธ์ ที่ล้วนแต่บันทึกและเล่าเรื่องความรู้เผยแพร่แก่สาธารณชนเสมอมา
[แก้] กลอนนิราศนครวัด
๏ แต่ฟังเขาเล่าขานนานหนักหนา | |
พวกที่ได้ไปเมืองเขมรมา | ว่าปราสาทศิลาน่าชมนัก |
ล้วนใหญ่โตมโหฬารโบราณสร้าง | ฝีมือช่างขอมชำนาญการจำหลัก |
ทำลวดลายหลายอย่างช่างเยื้องยัก | เขาชอบชักชวนให้เราไปดู |
แต่ยังติดกิจการพานขัดข้อง | ก็จำต้องเฝ้าผัดหลายนัดอยู่ |
จนถึงปีชวดนี้มีช่องคู | จะไปสู่นครวัดได้บัดนี้ |
ฝ่ายธิดายาใจอยากไปบ้าง | จะขัดขวางเธอไว้ก็ใช่ที่ |
เที่ยวแห่งใดก็ไปด้วยทุกที | จำปรานียอมให้ไปด้วยกัน |
จึงทูลลาพาสามทรามสวาท | แรมนิราศกรุงไกรมไหศวรรย์ |
แต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนธันว์ | ไปดัดดั้นเที่ยวอยู่กัมพูชา |
ฝรั่งเศสแสนดีอารีเหลือ | เขาเอื้อเฟื้อสารพัดช่วยจัดหา |
ไปถึงไหนก็เป็นสุขทุกเวลา | ช่างนึกน่าขอบใจกระไรเลย |
ทั้งเจ้านายฝ่ายกรุงกัมพูชา | ก็ต้อนรับสู่หาไม่เพิกเฉย |
ได้พูดจาสาสะจนคุ้นเคย | ใจก็เลยชักชอบด้วยขอบใจ |
เที่ยวสนุกขุกคิดถึงมิตรสหาย | ทั้งหญิงชายอยู่หลังยังกรุงใหญ่ |
ให้นึกอยากฝากของต้องฤทัย | แต่คิดไปก็ลำบากยากใช่น้อย |
จะซื้อหาสิ่งไรมาให้เล่า | ทุนของเราก็ไม่พอต้องท้อถอย |
ด้วยเพื่อนฝูงคณนาเห็นกว่าร้อย | จะแจกย่อยไปทุกคนพ้นปัญญา |
อย่าเลยจะเลี่ยงทำเยี่ยงปราชญ์ | แต่งนิราศสักทีจะดีกว่า |
ลองเล่าเรื่องที่ไปเมืองกัมพูชา | ให้บรรดามิตรสหายทั้งหลายฟัง |
แล้วพิมพ์แจกเช่นทำนองเป็นของฝาก | เห็นโดยมากจะสมอารมณ์หวัง |
แต่คิดกลอนแหละเบื่อเหลือกำลัง | จะแต่งตั้งนับปีก็มิแล้ว |
ด้วยกล่าวกลอนไม่สันทัดออกขัดข้อง | เห็นจะต้องเรียบเรียงเพียงร้อยแก้ว |
มีกลอนนำสักนิดเหมือนติดแวว | พอเนื่องแนวแบบนิราศปราชญ์โบราณ |
มิฉะนั้นจะว่าไม่ใช่นิราศ | ด้วยเหตุขาดคำกลอนอักษรสาร |
จึงแต่งไว้พอเห็นเป็นพยาน | ขอเชิญอ่านเนื้อเรื่องเนื่องไปเทอญฯ |