พระเจ้าจันทรภาณุ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เมื่อประมาณ พ.ศ. 1700 – 1800 เมืองนครศรีธรรมราช มีกษัตริย์สามพี่น้องพระเชษฐาที่ทรงครองราชทรงพระนามว่า “พระศรีธรรมโศกราช” องค์รองชื่อ “จันทรภาณุ” ซึ่งเป็นพระนามฐานันดรตำแหน่งอุปราช องค์สุดท้ายทรงพระนามว่า “พงษาสุระ”
เมื่อพระเจ้าศรีธรรมโศกราชเชษฐาสวรรคต องค์รองจันทรภาณุขึ้นเสวยราชย์เป็นพระเจ้าศรีธรรมราชโศกราชแทน (แต่คนทั่วไปและตำนานมักจะเรียกว่า “พระเจ้าจันทรภาณุ”) ครั้งพระเจ้าศรีธรรมโศกราชองค์ที่ 2 สวรรคต พงษาสุระ ก็ขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า “พระเจ้าศรีธรรมโศกราช” เช่นเดียวกัน
ในช่วงกษัตริย์สามพี่น้อง นครศรีธรรมราชมีความเจริญรุ่งเรืองมากถึงขีดสุดทั้งทางอาณาจักรและ ศาสนจักร ในสมัยพระศรีธรรมโศกราชองค์ที่ 2 (พระเจ้าจันทรภาณุ) มีหลักฐานหลายแห่งทั้งของลังกาและอินเดียยืนยันว่า กษัตริย์พระองค์นี้ได้รวบรวมไพร่พลทั้งสิบสองเมือง ทรงยกกองทัพไปตีเมืองลังกาและได้เมืองไว้ในครอบครอง ตลอดแหลมมลายู เรียกว่า “เมืองสิบสองนักษัตร” ทางศาสนจักรพระศรีธรรมโศกราช (พระเจ้าจันทรภาณุ) ทรงเป็นศาสนูปถัมภกได้ทรงอุปถัมภ์บำรุงและบูรณะส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก โดยได้ทรงจัดส่งพระภิกษุสงฆ์ไทยไปศึกษาพระธรรมวินัยที่เมืองลังกา นิกายหินยาน เพราะในขณะนั้น พระพุทธศาสนานิกายหินยานซึ่งเจริญมากในลังกา พระสงฆ์ไทย พม่า มอญ ลาว และเขมร ได้ออกเดินทางไปศึกษาพระธรรมวินัย พระพุทธศาสนานิกายหินยานในเมืองลังกากันมาก เมื่อพระสงฆ์จากเมืองนครศรีธรรมราชไปศึกษากลับมานครศรีธรรมราช ใน พ.ศ. 1700 ก็ชักชวนพระภิกษุชาวลังกามาตั้งคณะสงฆ์ที่เมืองนครศรีธรรมราช เรยกว่าพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ระยะนั้น ภิกษุชาวลังกาได้ร่วมมือช่วยเหลือพระเจ้าศรีธรรมโศกราช (พระเจ้าจันทรภาณุ) บูรณะเสริมสร้างให้เป็นไปตามแบบลังกา โดยก่อสถูปแบบลังกาครอบเจดีย์องค์เดิม แต่การบูรณะพระบรมธาตุในคราวนั้นก็ยังไม่บริบูรณ์แบบอย่างที่ปรากฏในปัจจุบันนี้ ยังได้มีการบูรณะเสริมสร้างพระวิหารโบราณสถานต่าง ๆ ต่อเติมมาอีกหลายสมัยจนก่าจะบริบูรณ์แบบดังที่ปรากฏในปัจจุบันนี้
แต่อย่างไรก็ตามในสมัยพรเจ้าศรีธรรมโศกราช (พระเจ้าจันทรภาณุ)ได้มีการกำหนดในบริเวณรอบ ๆ องค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นเขตพุทธาวาสและมีการจัดระเบียบคณะสงฆ์เป็น 4 คณะ โดยยึดเอาแบบแผนจาก ที่รักษาพระบรมธาตุเจดีย์มาเป็นนัย คือ คณะกาแก้ว กาชาด การาม และกาเดิม สงฆ์หัวหน้าคณะ เทียบที่สังฆราชการปกครองสงฆ์เมืองนครศรีธรรมราช ได้ใช้ระเบียบเดียวกันนี้ติดต่อกันมาโดยตลอด (เมืองไชยาและเมืองพัทลุงก็รับเอาระเบียบเดียว กันนี้ไปใช้ด้วย) จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชาคณะกาแก้ว กาชาด การามและกาเดิม ของเมืองนครศรีธรรมราช จึงมีฐานานุกรมเป็นพระครู ในสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราช (พระเจ้าจันทรภาณุ) ได้มีการบูรณะวัดวาอารามและพระบรมธาตุอย่างจริงจัง บ้านเมืองสงบร่มเย็นมาก ประชาชนประกอบแต่กรรมดีมีศีลธรรม จึงทำให้ชาวเมืองใกล้เคียงเกิดศรัทธาในพระบรมธาตุเจดีย์ต่างก็เดินทางมุ่งหน้าทำบุญที่พระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช มีการนำทรัพย์สินเงินทองมาถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชไม่ทัน เพราะบูรณะเสร็จเสียก่อน จึงผูกปริศนาอธิฐาน ฝังทรัพย์สินบูชาไว้ตามถ้ำตามเขา ริมน้ำ และสร้างวัดขึ้นในที่ต่าง ๆ โดยทั่วกัน
ด้วยเหตุที่องค์พระบรมธาตุเจดีย์ เป็นที่รวมแห่งความเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชน บริเวณองค์พระบรมธาตุเจดีย์ (คือวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร) จึงเป็นที่รวมและเป็นจุดกำเนิดของประเพณีและพิธีกรรมของหลวง และของราษฎร์มาตั้งแต่โบราณและปฏิบัติสืบต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เช่น ประเพณีให้ทานไฟ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ประเพณีแห่พระพุทธสิหิงค์ใน วันสงกรานต์ ประเพณีทำบุญในงานเดือนสิบ ประเพณีตักบาตรธูปเทียน ประเพณีลากพระ พระราชพิธีทำเงินตรานโม พระราชพิธีสวดอาฎานาขับไล่แม่มด พระราชพิธีจรดพระนังคัล พระราชพิธีโล้ชิงช้า เป็นต้น ซึ่งประเพณีและพระราชพิธีเหล่านี้สันนิษฐานว่า น่าจะมีจุดกำเนิด ในสมัยพระเจ้าสามพี่น้องเป็นต้นมา
ในสมัยสุโขทัยตอนต้นนั้น นครศรีธรรมราชเป็นอาณาจักรที่อิสระที่ทรงอิทธิพลมาก มีหลักฐาน ว่าพระเจ้าจันทรภาณุแห่งนครศรีธรรมราช ยกกองทัพข้ามทะเลไปตีเมืองลังกาถึงสองครั้ง และได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากลังกามาประดิษฐานในนครศรีธรรมราชด้วย
เมื่อเป็นไมตรีกับสุโขทัย นครศรีธรรมราชเป็นเมืองที่สำคัญต่อสุโขทัยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรม กษัตริย์สุโขทัยได้อาราธนาพระสงฆ์และเชิญนักปราชญ์ ราชบัญฑิตจากนครศรรธรรมราช ไปเผยแพร่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งนครศรีธรรมราชรับ มาจากลังกาและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีในสุโขทัย ดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชกระทำโอนทานแก่ มหาเถรสังฆราช ปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองนครศรีธรรมราชมา...”
นักปราชญ์ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีหลายท่านจึงมีความเห็นว่า สุโขทัยรับศิลปวัฒนธรรม หลายด้านไปจากนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะพุทธศาสนา และวัฒนธรรมจึงนับว่านครศรีธรรมราช มีอิทธิพลต่อสุโขทัยมาก และเจริญมาก่อนสุโขทัยเนื่องจากการอยู่ติดกับทะเล มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชนชาติต่างๆทำได้ง่าย ชาวลังกามาตั้งหลักเผยแพร่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ที่เมืองนครก่อน ชาวเมืองนครได้ไปศึกษาเล่าเรียนพระพุทธศาสนาถึงลังกาแล้วบวชตามลัทธิลังกา ขากลับได้นิมนต์พระสงฆ์ชาวลังกามาเป็นจำนวนมาก เพื่อเผยแพร่ศาสนา เมื่อพระพุทธศาสนาแบบลังกา เจริญรุ่งเรืองมีชื่อเสียงดังไปถึงสุโขทัย จึงโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ชาวลังกา และนครศรีธรรมราชไปอบรมสั่งสอนเหตุการณ์ติดต่อเผยแพร่ทางพุทธศาสนานี้เองทำให้วัฒนธรรม ของหัวเมืองปักษ์ใต้และฝ่ายเหนือได้ใกล้ชิดกันแต่นั้นมา