อักษรอัคคาเดีย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อักษรอัคคาเดีย (Akkadian scripts)หลังจากชาวสุเมเรียประดิษฐ์อักษรรูปลิ่มขึ้นใช้ อักษรแบบนี้ได้แพร่หลายไปยังกลุ่มชนใกล้เคียง เมื่อประมาณ 1,957 ปีก่อนพุทธศักราช ชาวอัคคาเดียที่พูดภาษาตระกูลเซมิติก และอยู่ทางเหนือของสุเมเรียได้นำอักษรรุปลิ่มไปใช้เขียนภาษาของตน การที่ชาวอัคคาเดียเข้ามามีอำนาจเหนือสุเมเรียเมื่อราว 1,757 ปี ก่อนพุทธศักราชและตั้งราชวงศ์อัคคาเดียน กำหนดให้ภาษาอัคคาเดียเป็นภาษาราชการในเมโสโปเตเมีย ทำให้ภาษาสุเมเรียค่อยๆลดความสำคัญลงจนกลายเป็นภาษาตาย ส่วนภาษาอัคคาเดียยังใช้ต่อมาอีก 2,000 ปี โดยพัฒนามาอยู่ในรูปแบบที่เรียกภาษาบาบิโลเนียและภาษาอัสซีเรีย
[แก้] ระบบอักษรแทนพยางค์
ภาษาสุเมเรียกับภาษาอัคคาเดียแตกต่างกันมาก ภาษาสุเมเรียเป็นภาษารูปคำติดต่อซึ่งไม่มีการผันคำแต่ใช้การเติมปัจจัยหรืออนุภาคเข้ามาทำให้คำกลายเป็นวลีที่มีความหมายซับซ้อนขึ้น ภาษาอัคคาเดียเป็นภาษาที่มีการผันคำจากรากศัพท์ เพื่อสร้างคำใหม่ที่ใกล้เคียงกับคำเดิมแต่ความหมายเปลี่ยนไป โดยทั่วไป ภาษาตระกูลเซมิติก (รวมทั้งภาษาอัคคาเดีย) รากศัพท์จะเป็นลำดับของพยัญชนะ 3 ตัว การผันคำใช้การเติมเสียงสระเข้าไประหว่างพยัญชนะ หรือโดยการลงอาคมและวิภัติปัจจัย ตัวอย่างจากภาษาอาหรับ รากศัพท์ ktb แสดงแนวคิดของการเขียน เมื่อผันคำนี้จะได้คำที่หมายถึงการเขียนมากมายเช่น /kitāb/ "หนังสือ", /kutub/ "หนังสือหลายเล่ม", /kātib/ "นักเขียน", /kataba/ "เขาเขียน" และอื่นๆ ในขณะที่ภาษาสุเมเรีย การวางรูปอักษรต่อเนื่องกันเพื่อสร้างประโยคจึงทำได้แต่ภาษาอัคคาเดียไม่อาจใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อกำหนดความหมายของคำให้ถูกต้อง เพื่อสร้างแบบการผันคำ จึงกำหนดสัญลักษณ์บางตัวใช้แสดงเสียงของคำมากกว่าความหมายจึงทำให้อักษรอัคคาเดียเป็นอักษรแทนพยางค์
ในภาษาสุเมเรียสัญลักษณ์หลายตัวเขียนต่างกันแต่แทนเสียงเดียวกัน เพราะภาษาสุเมเรียมีคำโดดเป็นจำนวนมาก เมื่อชาวอัคคาเดียนำระบบของชาวสุเมเรียมาใช้ คำพ้องเสียงเหล่านี้จึงติดมาด้วย มีสัญลักษณ์สำหรับพยางค์โครงสร้าง พยัญชนะ-สระ-พยัญชนะ (CVC) อีกวิธีหนึ่งใช้การเขียนพยางค์ที่เริ่มด้วยเสียงพยัญชนะแล้วต่อด้วยพยางค์ที่ลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะ (Cv-VC) โดยพยางค์ทั้งสองต้องมีเสียงสระเหมือนกัน
[แก้] อักษรแทนคำและศัพท์กำหนด
อักษรแทนคำเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนคำหรือหน่วยย่อยของภาษา ศัพท์กำหนดเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ออกเสียงใช้แสดงความหมายโดยทั่วไปของคำที่ตามมา ทั้งอักษรแทนคำและศัพท์กำหนดจัดเป็นกลุ่มเดียวกัน ศัพท์กำหนดเกือบทั้งหมดมาจากอักษรแทนคำ แต่บางสัญลักษณ์อาจทำหน้าที่ได้มากกว่า 1 อย่าง
สัญลักษณ์ตัวเดียวกันอาจแสดงคำต่างกันได้ ลักษณะนี้เริ่มพบในภาษาสุเมเรีย เมื่ออักษรแทนคำเดียวกันใช้เขียนแทนคำที่เกี่ยวข้องกันแต่ออกเสียงต่างกัน การบ่งชี้ถึงความแตกต่างนี้ บริบทของคำจะมีความสำคัญมาก วิธีการหนึ่งที่ใช้บ่งชี้คำที่อักษรนั้นอ้างถึงคือส่วนเพิ่มของเสียง เป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงเสียงของอักษรนั้นๆและช่วยให้ผู้อ่านจำแนกคำได้ ตัวอย่างเช่น สัญลักษณ์ AN-ú แสดงว่าเป็นคำ šamû, ไม่ใช่ Anum อีกวิธีหนึ่งคือศัพท์กำหนด เช่น ลำดับ KÁ-DINGIR-RA ตามด้วยศัพท์กำหนด KI แสดงว่านี่เป็นชื่อเมือง มีเมืองเดียวที่เขียนว่า KÁ-DINGIR-RA, คือเมืองบาบิโลน ที่จริงแล้วอักษร KÁ แสดงคำ babu ("ทางเข้า"), DINGIR หมายถึง ilum ("พระเจ้า"), และ RA แสดงการกแสดงความเป็นเจ้าของในภาษาสุเมเรียใช้กับพระเจ้าลำดับข้างต้นจึงหมายถึง Babilum, หรือ "ทางเข้าของพระเจ้า", เทพเจ้าควรเป็นเทพมารดุคซึ่งเป็นเทพเจ้าของกรุงบาบิโลน
ด้วยธรรมชาติของการผันคำในภาษาอัคคาเดีย อักษรแทนคำจะแสดงรากศัพท์ของคำ เมื่อมีการผันจะเพิ่มส่วนเพิ่มของเสียงเข้าไปเพื่อแสดงคำที่ได้จากการผัน
อักษรอัคคาเดียเป็นระบบอักษรที่ซับซ้อนมาก สัญลักษณ์ที่ใช้มีราว 200 – 400 ตัว (ทั้งหมด 700 -800 ตัว) คำพ้องเสียงและการใช้สัญลักษณ์ที่มีหลายหน้าที่ ทำให้อักษรอัคคาเดียมีหลายวิธีในการสะกดเสียงเดียวกัน อักษรนี้เป็นระบบการเขียนที่สำคัญระบบหนึ่งในตะวันออกกลางยุคโบราณ ทำให้ประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศาสตร์ต่างๆของเมโสโปเตเมียเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน
[แก้] แหล่งข้อมูลภายนอก
- ((อังกฤษ)) อักษรรูปลิ่มของอัคคาเดีย