กบฏบวรเดช
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
![]() |
บทความนี้ไม่ได้รับการยอมรับเกี่ยวกับความเป็นกลาง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และต้องการการแก้ไขโดยด่วนเพื่อสอดคล้องกับการเป็นสารานุกรม กรุณาดูบทสนทนาที่เกี่ยวข้องที่หน้าพูดคุย |
กบฏบวรเดช ชื่อเรียกการกบฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 กบฏบวรเดช เกิดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 นำโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารนำกำลังทหารจากหัวเมืองภาคอีสาน ล้มล้างการปกครองของรัฐบาล โดยมีเหตุผลว่าคณะราษฎรปกครองประเทศโดยกุมอำนาจแต่เพียงผู้เดียว และปล่อยให้บุคคลกระทำการหมิ่นองค์พระประมุขของชาติ คือกรณี นาย ถวัลย์ ฤทธิเดช ได้ฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากกรณีที่ที่พระองค์มีพระบรมราชวินิจฉัยคัดค้าน แผนพัฒนาเศรษฐกิจของ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ที่เรียกกันว่าสมุดปกเหลือง โดยออกเป็นสมุดปกขาว จนทำให้ต้องให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมไปอยู่ที่ฝรั่งเศสชั่วคราว ซึ่งทำให้คณะราษฎร์หลายท่านไม่พอใจพระเจ้าอยู่หัวและ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา จเป็นเหตุให้เกิดรัฐประหาร 20 มิถุนายน 2476. หลังจากการรัฐประหารที่ให้พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีการล้างมลทินให้หลวงประดิษฐมนูธรรม และ กรณีฟ้องร้องพระเจ้าอยู่หัว
เหตุดังกล่าวทำให้ พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช บรรดานายพล และ นายทหารอื่นๆ ที่โดนปลดหลังการอภิวัฒน์ 2475 ไม่พอใจรัฐบาลเป็นอันมากจึงเริ่มก่อกบฏขึ้น โดยนำทหารโคราช (กองพันทหารราบที่ 15, กองพันทหารราบที่ 16 กองพันทหารม้าที่ 4 กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 3 กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 4) ทหารเพชรบุรี (กองพันทหารราบที่ 14), ทหารอุดร (กองพันทหารราบที่ 18) เข้ารบ โดยหวังให้ทหารกรุงเทพ ที่สนิทกับพันเอกพระยาศรีสิทธิ์สงคราม ไม่ร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ทหารกรุงเทพหันไปร่วมมือกับรัฐบาลเนื่องจากฝ่ายทหารโคราชยืนยันเอาพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชเป้นหัวหน้า ซึ่งผิดเงื่อนไขที่ทหารกรุงเทพต้องการ เนื่องจากทหารกรุงเทพนับถือพันเอกพระยาศรีสิทธิ์สงครามมากกว่า พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช
กระสุนนัดแรกเริ่มที่ ปากช่อง เมื่อ 11 ตุลาคม 2476แล้วมีการจับคนของรัฐบาลเป็นเชลยที่โคราช คณะผู้ก่อการได้ยกกองกำลังเข้ามาทางดอนเมืองและยึดพื้นที่เอาไว้
คณะรัฐบาลแต่งตั้ง พันโทหลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป. พิบูลสงคราม - ยศขณะนั้น) เป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสม พร้อมรถปตอ. รุ่น 76 และรถถัง รุ่น 76 บรรทุกรถไฟไป ยกออกไปปราบปรามได้สำเร็จ แต่ต้องเสียพันโทหลวงอำนวยสงคราม (ถม เกษะโกมล) ผู้บังคับการกองพันทหารราบที่ 8 เพื่อนของหลวงพิบูลสงครามเพราะถูกยิงเข้ามาในรถจักรดีเซลไฟฟ้า
ครั้งนั้นฝ่ายบวรเดชได้ใช้รถจักรฮาโนแม็ก เบอร์ 277 พุ่งชนรถไฟของกองทัพรัฐบาล จนมีทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมากก่อนล่าถอยไปโคราช
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้นายทหารฝ่ายกบฏ ได้แก่ นายพันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) ถูกยิงเสียชีวิตโดยทหารจากกองพันทหารราบที่ 6 นำโดยพันตรีหลวงวีรวัฒน์โยธา เมื่อ 23 ตุลาคม 2476 ส่วนพระองค์เจ้าบวรเดชหัวหน้าคณะกบฏและพระชาย ทรงขึ้นเครื่องบินเดินทางหนีไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อ 25 ตุลาคม 2476 ขณะที่ พระอนุชาของท่าน (หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤษฎากร) ถูกทหารจับกุม
ภายหลังได้มีการตั้งศาลพิเศษ ทำให้มีการจับคุกทหารและพลเรือน ผู้เกี่ยวข้องกับการกบฎครั้งนี้นับร้อยคน ที่ เรือนจำบางขวาง แต่ที่ไม่มีการประหารชีวิตเพราะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้สละราชสมบัติทำให้รัฐบาลต้องอภัยโทษให้บรรดาผู้รับโทษประหารชีวิต เป็นที่จำคุกตลอดชีวิต และ ผู้ได้รับโทษจำคุกก็ได้รับการลดโทษ ตามลำดับชั้น
ต่อมา 14 ตุลาคม 2479 เปิดอนุสาวรีย์ปราบกบฎที่บางเขน
ต่อมาในปี 2487 ได้มีการปล่อยตัวบรรดาผู้ได้รับโทษกรณีกบฎบวรเดชทั้งหมดออกจากเรือนจำ
[แก้] ดูเพิ่ม
[แก้] อ้างอิง
นายหนหวย (ศิลปชัย ชาญเฉลิม), เจ้าฟ้าประชาธิปก ราชันผู้นิราศ โรงพิมพ์วัชรินทร์, 2530