การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค | |
---|---|
![]() โถงนอริส ตึกวิศวกรรม, ที่ซึ่งมีคนตาย 30 คน จากการสังหารหมู่ 32 คน |
|
เป้าหมาย | สถาบันเวอร์จิเนียโปลีเทคนิคและมหาวิทยาลัยรัฐ |
วันเวลา | 16 เมษายน พ.ศ. 2550 7:15 a.m. และ 9:00 a.m. ถึง 9:30 a.m. (UTC-4) |
รูปแบบการโจมตี | การสังหารหมู่ |
ผู้เสียชีวิต | 32 (33 รวมทั้งมือปืน)[1][2] |
ผู้บาดเจ็บ | 29[2] |
ผู้กระทำผิด | โช-เซียงฮุย |
แรงจูงใจ | ไม่ทราบแน่ชัด |
เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2550 เวลา 7 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น (UTC-4) ตามรายงานข่าว มีมือปืนนายคือ โช เซียง-ฮุย (조승희, Cho Seung-hui) นักศึกษาวัยยี่สิบสามปีจากเกาหลีใต้ในมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค เมืองแบล็กส์เบิร์ก มลรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา และกราดยิงหลายนัด มีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 33 คน และรวมทั้งมือปืนด้วย และบาดเจ็บอย่างน้อย 29 ราย มีรายงานการยิงทั้งที่ตึกเรียนและหอพัก หลังจากมีรายงานได้มีการยกเลิกการเรียนการสอนทั้งหมด เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความสับสนและข้อสงสัยต่อความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย ตามรายงานนักศึกษาชาวไทยทั้ง 40 คนปลอดภัยดี
สารบัญ |
[แก้] เหตุการณทั่วไป
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองแบล็กส์เบิร์ก มลรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2550 ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมลรัฐเวอร์จิเนียเปิดเผยว่า เกิดเหตุยิงกันภายในมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเมื่อเวลาประมาณ 7:15 น.ของเช้าวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น (UTC-4) โดยคนร้ายเป็นชายผู้หนึ่งใช้อาวุธปืนบุกเข้าไปยิงภายในบริเวณมหาวิทยาลัยและหอพักนักศึกษา สังหารผู้คนไปทั้งสิ้น 32 ศพ (33 ศพ หากรวมคนร้ายด้วย) และ บาดเจ็บอีก 21 คน
หลังเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งปิดประตูทางเข้าออกทั้งหมด และยกเลิกการเรียนการสอนทั้งหมด ส่วนตัวมือปืนนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า อยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิตด้วย แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ฆ่าตัวตายหรือถูกผู้อื่นฆ่าตาย รวมทั้งสาเหตุที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญขึ้นมา นับเป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ในสถานศึกษาครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนที่จะถึงวันครบรอบเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เมืองโคลัมไบน์ มลรัฐโคโลราโด เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2542 มีผู้เสียชีวิต 15 ศพ
[แก้] ลำดับเหตุการณ์
เวลาทั้งหมดที่ใช้คือ UTC-4.
[แก้] วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2550
- 7:15 a.m.: มีรายงานว่ามีการโทรแจ้ง 191 จากเวอร์จิเนียเทคว่ามีเหตุกาณ์ยิงกันมีผู้เสียชีวิต สองคน
- 8:00 a.m.: เริ่มมีการเรียนการสอน
- 9:00 a.m. – 9:30 a.m.(ประมาณ): มือปืนเริ่มเข้าไปยิงในห้องเรียนตึกวิศวกรรม
- 9:26 a.m.: มีอีเมลให้ออกจากตึกเพราะมีการยิงกันเกิดขึ้น
- 9:30 a.m.: นักศึกษารายงานกับตำรวจอีกว่ามีการยิงอีกในตึกวิศวกรรม
- 9:50 a.m.: มีอีเมลฉบับที่สามบอกว่ามือปืนได้ออกจากตึกแล้วขอให้ทุกคนอยู่แต่ในตึกและอย่าเข้าใกล้หน้าต่าง
- 10:52 a.m.: อีเมลแบบที่สี่บอกว่ามีการยิงอีกและคนตายมากขึ้นตอนนี้คนร้ายถูกจับและตำรวจกำลังตามหามือปืนคนที่สอง ทางออกถูกล่ามโซ่ปิดไว้
- 12:00 p.m.: มีประกาศว่ามีผู้เสียชีวิต อย่างน้อย 21 คน และบาดเจ็บอย่างน้อย 28 คน
- 2:30 p.m.: สำนักข่าวเอพีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 31 คน
- 7:30 p.m.: รายงานล่าสุดบอกว่ามีผู้เสียชีวิต สามสิบเอ็ดคน ที่ตึกนอริส และยังไม่ทราบชื่อมือปืน
[แก้] วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2550
- มหาวิทยาลัยปิด, ยกเลิกการเรียนการสอนทุกชั้นเรียน
- 8:00 p.m.: มีการจุดเทียนไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค
[แก้] รายชื่อผู้เสียชีวิต
นี่เป็นรายชื่อจากสื่อต่างๆอย่างไม่เป็นทางการ
[แก้] การยิงครั้งแรกที่หอแอมเบอร์จอห์นสันตะวันตก
- เอมิลี่ ฮิลสเชอร์, นักศึกษาปีที่หนึ่ง[3]
- ไรอัน ซี. คลาก, นักศึกษาอายุ 22 ปีถูกสังหารที่หอแอมเบอร์จอห์นสันตะวันตก
[แก้] การยิงครั้งที่สองที่โถงนอริสตึกวิศวกรรม
- มารี่ รีด, นักศึกษาปีหนึ่งถูกยิงขณะเรียนอยู่ที่ห้องเรียนภาษาฝรั่งเศส[4]
- เฮนรี ลี , นักศึกษาปีที่หนึ่ง[5]
- แมกซีน เทอเนอร์, นักศึกษาปีที่สี่[5]
- แมต ลา โปรเต, นักศึกษาปีที่หนึ่ง[5]
- ฮวน ออร์ทีส, นักศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรี[5]
- จาเรต เลน, นักศึกษาปีที่สี่[5]
- เลสลี เชอร์แมน, นักศึกษาปีที่สอง[5]
- เคียตลิน แฮมมาเล็น, นักศึกษาปีที่สอง[5]
- รีมา ซามาฮา, นักศึกษาปีที่หนึ่ง[5]
- คริสโตเฟอร์ เจ บิชอพ[6]
- ศาสตราจารย์ลิวิฟ ลิบริสคิว (ตายขณะช่วยกันให้นักศึกษาออกไปจากตึกทำให้คนร้ายมาเล่นงานเขา)[3][7]
- ศาสตราจารย์เควิน กันนาตา [3][8]
- ศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ เจมส์ บิชอพ ถูกคนร้ายยิงตายขณะที่กำลังสอนภาษาเยอรมัน[9]
[แก้] คนร้าย
ตำรวจสามารถระบุตัวคนร้ายได้แล้วคือ โช-เซียงฮุย (Cho Seung-hui), นักศึกษามหาวิทยาลัยอายุยี่สิบสามปีจากเกาหลีใต้
[แก้] เปรียบเทียบประวัติศาสตร์
นี่เป็นเหตุการณยิงกันในสถานศึกษาที่ร้ายแรงที่สุดในสหรัฐอเมริกา มากกว่ากรณีโรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ที่มีผู้เสียชีวิต 15 ศพ ในปีพ.ศ. 2542 และการสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยเทกซัสที่มีผู้เสียชีวิต 16 คน ในปีพ.ศ. 2509 และเป็นเหตุการณ์ยิงประชาชนพลเรือนที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
[แก้] ข้อมูลล่าสุด
นักศึกษาไต้หวันออกมาให้สัมภาษณ์สถานีทีวีไอซึ่งบอกว่ามือปืนคือนายโช-เซียงฮุย (Cho Seung-hui)เป็นเพื่อนเขาซึ่งเป็นชาวเกาหลีใต้ที่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับแฟนสาวแล้วจึงยิงแฟนสาวทิ้งและมีบุคคลมาห้ามปรามจึงยิงทิ้งและเริ่มกราดยิงตามห้องเรียนต่างและยิงตัวเองตายที่ใบหน้าทำให้ยากที่จะระบุตัวตนของมือปืน
[แก้] อ้างอิง
- ↑ Virginia Tech official website. Virginia Tech official website. Retrieved on 2007-04-16.
- ↑ 2.0 2.1
- ↑ 3.0 3.1 3.2 "32 Shot Dead on Virginia Tech Campus", New York Times. Retrieved on 2007-04-17.
- ↑ ABC News. Teen With Local Ties Killed in Virginia Tech Shooting.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 5.7 List of confirmed deceased. Collegiate Times. Retrieved on 2007-04-17.
- ↑ Fox News. Victims of Virginia Tech Shooting.
- ↑ http://hosted.ap.org/dynamic/stories/V/VIRGINIA_TECH_SHOOTING?SITE=NYMID&SECTION=HOME&TEMPLATE=DEFAULT
- ↑ http://hosted.ap.org/dynamic/stories/V/VIRGINIA_TECH_SHOOTING?SITE=NYMID&SECTION=HOME&TEMPLATE=DEFAULT
- ↑ "Professor among Virginia Tech victims", Los Angeles Times. Retrieved on 2007-04-17.
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
- Statement by President Charles W. Steger of Virginia Tech
- Written transcript of statement by President Charles W. Steger of Virginia Tech
- Eyewitness reports from the Virginia Tech shootings - The Roanoke Times
- Virginia Tech Victim Describes Shooter
- Virginia Tech Cell Phone Clip captures gunfire
- The Roanoke Times' blog-style rolling article
- Collegiate Times - Official Student Newspaper for Virginia Tech. Includes eyewitness accounts of the incident.
- Timeline: How the deadly shooting unfolded.
- Location of shootings on GlobalGuide.Org
- White House press release
- Virginia Tech College Radio Station - 90.7 Blacksburg Radio Station Live Feed
- Breaking News Feature - the Daily Telegraph