New Immissions/Updates:
boundless - educate - edutalab - empatico - es-ebooks - es16 - fr16 - fsfiles - hesperian - solidaria - wikipediaforschools
- wikipediaforschoolses - wikipediaforschoolsfr - wikipediaforschoolspt - worldmap -

See also: Liber Liber - Libro Parlato - Liber Musica  - Manuzio -  Liber Liber ISO Files - Alphabetical Order - Multivolume ZIP Complete Archive - PDF Files - OGG Music Files -

PROJECT GUTENBERG HTML: Volume I - Volume II - Volume III - Volume IV - Volume V - Volume VI - Volume VII - Volume VIII - Volume IX

Ascolta ""Volevo solo fare un audiolibro"" su Spreaker.
CLASSICISTRANIERI HOME PAGE - YOUTUBE CHANNEL
Privacy Policy Cookie Policy Terms and Conditions
มารายห์ แครี - วิกิพีเดีย

มารายห์ แครี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

มารายห์ แครี

ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อจริง มารายห์ แครี
วันเกิด 27 มีนาคม พ.ศ. 2513
แนวเพลง ป็อป อาร์แอนด์บี
อาชีพ นักร้อง,นักแต่งเพลง,นักแสดง,เจ้าของค่ายเพลง
ปี ค.ศ. 1990 - ปัจจุบัน
ค่าย Columbia (1988–2001)

Virgin (2001–2002)

Island/Def Jam (2002–ปัจจุบัน)
เว็บไซต์ http://www.mariahcarey.com/

มารายห์ แครี (Mariah Carey) เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม, พ.ศ. 2513 ที่ เมือง Huntington รัฐนิวยอร์ก เป็นนักร้องและนักประพันธ์เพลงป็อปชาวอเมริกัน ที่อยู่ไหนแถวหน้าในยุค 90 เธอเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในทศวรรษ ตามการรายงานของนิดยสารบิลบอร์ด และตามที่ World Music Awards รายงานนั้น มารายห์เป็นศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดแห่งทศวรรษ[1] และในปี พ.ศ. 2543 รายการดังกล่าวยกย่องเธอให้เป็นศิลปินเพลงป๊อปหญิงยอดเยี่ยมแห่งยุค พร้อมทั้งยังได้รับรางวัลนักร้องหญิงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลด้วยยอดขายกว่า 150 ล้านชุด ณ เวลานั้น

ดนตรีของมารายห์ได้รับอิทธิพลมาจากแนวดนตรีริธึ่มแอนด์บลูส์ ป็อป ก็อสเปล ฮิปฮอป แดนซ์ และ ร็อกแอนด์โรล แนวการร้องและการแต่งเพลงของเธอเป็นไปตามความสามารถในการร้องเพลงได้กว้างถึงห้าออกเตฟ นอกจากนี้เธอยังใช้เทคนิคการร้องที่เรียกว่า เมลิสม่า (เทคนิคการร้องเพลงให้หลายๆ ตัวโน้ตในหนึ่งคำ) และเสียงที่ขึ้นลง สลับกันไปมา และกระโดดข้ามออกเตฟเป็นเทคนิคที่พบบ่อยในเพลงของเธอ มารายห์โปรดิวซ์ อัลบั้มที่เป็นสตูดิโออัลบั้มของเธอยกเว้นอัลบั้มแรกของเธอ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา มารายห์ได้กระโดดเข้ามาในงานแสดง และได้ช่วยเหลือองค์กรการกุศลหลายๆ องค์กร

สารบัญ

[แก้] ประวัติ

[แก้] ชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว ปี 1970 ถึง 1990

มารายห์ แครีเป็นลูกคนที่สามและคนสุดท้องของนักร้องอุปรากรและนักฝึกขับร้องชื่อ แพทรีเชีย ฮิกกี้ ผู้ซึ่งมีเชื้อสายไอริชอเมริกัน กับ วิศวกรอากาศยานชาวเวเนซูเอล่า แอฟริกันชื่ออัลเฟรด รอย แครี เธอได้รับการตั้งชื่อว่า มารายห์มาจากเพลง (And They Call the Wind) Mariah ในละครเพลงเรื่อง Paint Your Wagon มารายห์ไม่มีชื่อกลาง เธอมีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ แอลิสัน ซึ่งอายุแก่กว่าเธอสิบปี และพี่ชายชื่อ มอร์แกน ซึ่งอายุแก่กว่าเธอเก้าปี

จากการที่ถูกเลี้ยงดูในครอบครัวที่พ่อแม่มาจากเชื้อชาติที่ต่างกัน ครอบครัวของเธอจึงประสบกับปัญหาเกี่ยวกับเชื้อชาติตั้งแต่การดูถูก เมินเฉย หรือแม้กระทั่งความรุนแรง ครอบครัวของเธอจึงย้ายบ้านไปรอบๆ นิวยอร์กบ่อยๆ เพื่อที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ความตึงเครียดภายในครอบครัวทำให้พ่อแม่ของเธอหย่าขาดจากกันเมื่อมารายห์อายุได้สามขวบ เธอและมอร์แกนอาศัยอยู่กับแม่ของเธอในขณะที่แอลิสันไปอยู่กับพ่อ เธอไม่ค่อยได้ติดต่อกับพ่อเธอเท่าใดนักยกเว้นช่วงวันหยุด แต่ก็น้อยลงเมื่อเธอมีอายุมากขึ้น แพทริเชียเลี้ยงดูมารายห์ขณะที่เธอต้องทำงานสองถึงสามงานและก็ยังคงต้องย้ายบ้านอยู่บ่อยๆในเขตลองไอร์แลนด์ อย่างไรก็ดี เธอก็ยังสามารถทำให้ครอบครัวอบอุ่นและน่าอยู่ได้ คนส่วนใหญ่มักเชื่อว่าแพทริเชียนั้นไม่มีวิญญาณความเป็นแม่ เพราะว่ามารายห์มักจะพูดเสมอว่าเธอโตเร็วกว่าอายุและก็ได้ประสบเหตุการณ์อันเจ็บปวดในสมัยที่เธอเป็นเด็กและต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จากสิ่งที่เธอเผชิญมานั้นเธอจึงพูดอยู่บ่อยๆ ว่าดนตรีเป็นสิ่งที่เลี้ยงดูฟูมฟักเธอให้เติบใหญ่ขึ้นมาแบบที่คนอื่นไม่เคยได้รับมาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม มารายห์และแม่ของเธอก็ยังคงสถานะความใกล้ชิดอยู่จนถึงปัจจุบัน

มารายห์ แครีเริ่มร้องเพลงเมื่ออายุได้สามขวบ แม่ของเธอเชื่อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาว่าเธอมีพรสวรรค์ในการร้องเพลง จริงๆ แล้วแพทริเชียชอบพามารายห์ไปดูการซ้อมโอเปร่าอยู่บ่อยๆ วันหนึ่งแพทริเชียลึมคิวการร้องเพลงแต่มารายห์สามารถทำให้ทุกคนประหลาดใจ เมื่อเธอจำได้และสามารถร้องต่อได้อย่างสมบูรณ์ เธอเริ่มมีการแสดงต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกเมื่อเธออายุหกขวบและเริ่มแต่งเพลงตอนชั้นประถม มารายห์เรียนจบจากโรงเรียนประถมโอลด์ฟิลด์และโรงเรียนมัธยมฮาร์เบอร์ฟิลด์สใน กรีนลอว์น นิวยอร์ก แต่มักจะขาดเรียนอยู่บ่อยๆ เนื่องจากเธอพยายามจะเข้าไปในวงการบันเทิง ทำให้เธอได้ฉายาว่า มิราจ (ภาพลวงตา) เป็นเรื่องแปลกที่มารายห์ไม่เคยเข้าร่วมวงร้องเพลงประสานเสียงของโรงเรียนเลย สุดท้าย เธอก็ได้รับงานเป็นนักร้องแบ๊กอัพให้กับ เบรนด้า เค. สตารร์ และในปี ค.ศ. 1988 มารายห์ได้พบกับผู้บริหารระดับสูงจากค่ายเพลงโคลัมเบียชื่อ ทอมมี่ มอตโตล่า ในงานเลี้ยงหนึ่งซึ่งเพื่อนของเธอได้นำม้วนเทปเดโมให้กับเขา เทปม้วนนั้นถูกเปิดในงานเลี้ยงและทอมมี่ก็ประทับใจกับสิ่งที่ได้ฟังเป็นอย่างมาก เขาจึงกลับไปที่งานเลี้ยงเพื่อตามหามารายห์แต่เธอก็กลับไปแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถตามหาเธอจนพบและก็เซ็นสัญญาให้เธอเข้ามาอยู่ในสังกัด เหตุการณ์ที่เหมือนกับเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลล่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องเล่าในวงการบันเทิงเกี่ยวกับการปรากฏตัวของมารายห์สู่สายตาของสาธารณะชน

[แก้] การประสบความสำเร็จในช่วงแรก ปี 1990 ถึง 1992

มารายห์ ในรายการ MTV Unplugged
มารายห์ ในรายการ MTV Unplugged

อาชีพของมารายห์ แครี ได้เริ่มขึ้นกับอัลบั้มชุดแรกในชีวิตของเธอที่มีชื่อเดียวกับเธอ ในปี ค.ศ. 1990 เธอดังในภายในข้ามคืน มีเพลงอันดับ 1 ถึง 4 เพลง (ในอเมริกา) คือ Vision Of Love, Love Takes Time, Someday และ I Don't Wanna Cry แต่อัลบั้มนี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จระดับสากลเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ดี เธอก็ได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี ค.ศ. 1991 กับรางวัล Best Female Pop Vocal Performance และ Best New Artist [2]

อัลบั้มชุดที่ 2 "Emotions" ออกวางจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1991 และซิงเกิ้ลแรก Emotions ก็ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาเป็นเวลานาน 3 สัปดาห์ ทำให้เธอเป็นศิลปินคนแรกที่มี 5 ซิงเกิ้ลแรกติดอันดับ 1 ในบิลบอร์ด และตามมาด้วยเพลง Can't Let Go ที่หยุดอยู่ที่อันดับ 2 และเพลง Make It Happen ก็สูงสุดอันดับ 5 อัลบั้มชุดนี้เธอได้ร่วมงานกับ โรเบิร์ต คลิวิลส์ (Robert Clivilles) และ เดวิด โคลส์ (David Coles) วงซีแอนด์ซี มิวสิก แฟกทอรี (C&C Music Factory) นอกจากนั้นอัลบั้มนี้ยังได้ร่วมงานกับ คาโรล์ คิง (Carole King) (นักร้อง/นักแต่งเพลงหญิงชื่อดังในยุค 70 เจ้าของเพลงดัง It's Too Late)ในเพลง If It's Over [3]

ในปี ค.ศ. 1992 เธอได้แสดงคอนเสิร์ตจริงครั้งแรกกับเอ็มทีวี รายการ MTV Unplugged โดยเธอได้ร้องเพลงจากอัลบั้ม 2 ชุดแรก และได้ร้องเพลงคัฟเวอร์ของวง แจ็คสันไฟฟ์ เพลง I'll be there ร่วมกับเทรย์ โลเรนซ์ (Trey Lorenz) และเพลงนี้ก็ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลและขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกา และการแสดงสดครั้งนี้ของเธอก็อยู่ในอัลบั้ม EP ของเธอที่ชื่อ MTV Unplugged ที่มีเพลงทั้งหมด 7 เพลง

[แก้] ความสำเร็จไปทั่วโลก ปี 1993 ถึง 1996

มารายห์กับวง Boyz II Men ในเพลง One Sweet Day
มารายห์กับวง Boyz II Men ในเพลง One Sweet Day

มารายห์ แครีแต่งงานกับ ทอมมี่ มอตโตล่า ซีอีโอบริษัทโซนี่ในขณะนั้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1993 ที่แมนฮัตตัน ต่อมาเธอก็ออกผลงานเพลงสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ที่ชื่อว่า Music Box อัลบั้มชุดนี้ประสบความสำเร็จขายได้มากกว่า 10 ล้าน เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล Dreamlover ที่ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกานาน 8 สัปดาห์ ต่อด้วยเพลง Hero ที่เป็นเพลงให้กำลังใจ ก็ขึ้นอันดับในอเมริกา นาน 4 สัปดาห์ ส่วนซิงเกิ้ลที่ 3 เพลง Without You ได้นำเพลงดังของแฮรี นิลล์สัน (Harry Nillson) มาคัฟเวอร์ใหม่ เพลงนี้เป็นเพลงแรกของ มารายห์ แครี ที่ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ช่วงปี ค.ศ. 1994 เธอได้ร่วมร้องเพลงกับ ลูเธอร์ แวนดรอส อัลบั้ม Songs ที่นำเพลงเก่า Endless Love ของลิโอเนล ริชีย์ (Lionel Richie) และ ไดอาน่า รอสส์ (Diana Ross) มาทำใหม่ ปลายปี ค.ศ. 1994 เธอได้ออกอัลบั้มคริสต์มาสมีเพลงดังที่แต่งขึ้น ถือว่าเป็นเพลงคลาสสิคคริสต์มาส เพลง All I Want For Christmas Is You ที่มียอดขายถล่มถลายในประเทศญี่ปุ่น [4]

ในปี ค.ศ. 1995 เธอออกอัลบั้ม Daydream โดยอัลบั้มชุดนี้เธอผสมผสานเพลงแนวอาร์แอนด์บี และ ฮิปฮอปเข้ากับเพลงป็อป มีเพลง Fantasy ที่ขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกที่เข้าชาร์ทนับเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำได้ และ นับเป็นเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกเป็นเพลงที่ 2 ถัดจาก You're Not Alone ของ ไมเคิล แจ็กสัน ส่วนซิงเกิ้ลที่ 2 เพลง One Sweet Day ที่ร่วมงานกับวงอาร์แอนด์บี บอยซ์ ทู เม็น (Boyz II Men) ก็ขึ้นอันดับ 1 นานที่สุดในประวัติศาสตร์ชาร์ทซิงเกิ้ลในอเมริกา นานถึง 16 สัปดาห์ [5] ซิงเกิ้ลที่ 3 Always Be My Baby ที่ร่วมงานกับเจอร์เมน ดูปริ (Jermain Dupri) ก็ขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน รวมไปถึงอันดับ 1 ยอดการเปิดออกอากาศมากที่สุดประจำปี 1996[6]

นอกจากนั้น มารายห์ แครี่ยังร่วมประสานเสียงให้กับเบบี้เฟส (Babyface) ในเพลง Everytime I close My Eyes

[แก้] ความเป็นอิสระและภาพลักษณ์ใหม่ ปี 1997 ถึง 2000

มารายห์กับภาพลักษณ์ใหม่สไตล์ฮิบฮอบในเพลง Honey
มารายห์กับภาพลักษณ์ใหม่สไตล์ฮิบฮอบในเพลง Honey

มารายห์ แครีและ ทอมมี่ มอตโตล่าแยกกันอยู่ปี 1997 โดยเธอต้องสร้างภาพสู่สาธารณชนอยู่มีความสุข แต่จริงแล้ว มารายห์ไม่มีความสุขกับชีวิตคู่เลย เธอถูกสปาย ถูกปฏิบัติเหมือนนกในกรงทอง สุดท้ายการหย่าร้างก็เกิดขึ้นในปีถัดมา[7]

ปี ค.ศ. 1997 อัลบั้ม Butterfly ออกวางจำหน่าย และขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกเป็นครั้งที่ 2 โดยอัลบั้มชุดนี้เธอได้ลงสู่แนวอาร์แอนด์บี และ ฮิปฮอปอย่างจริงจัง รวมถึงภาพลักษณ์เซ็กซี่ที่แสดงออก ซิงเกิ้ลแรกเพลง Honey ที่ได้ร่วมงานกับศิลปินแร็ป พัฟฟ์ แดดดี้ (Puff Daddy) (ในขณะนั้น) และเพลง Butterfly ที่กล่าวถึงชีวิตคู่ของเธอ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ซิงเกิ้ลต่อมา My All ก็ขึ้นสู่อันดับ 1 ในซิงเกิ้ลชาร์ทเป็นเพลงที่ 13

เธอได้เปิดค่ายเล็ก ชื่อ Crave Records โดยมีศิลปินอย่าง อัลลัวร์ (Allure),เซเว่น ไมล์ (7 Mile) เป็นต้น แต่ก็ปิดตัวไปในที่สุด นอกจากนั้นเธอยังได้ทำงานในฐานะนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินอื่นๆเช่น อัลลัวร์ (เธอร่วมแต่งเพลงในเพลง Head Over Heels และ Last Chance และร่วมโปรดิวซ์อีกหลายเพลงรวมถึงซิงเกิ้ลฮิตของอัลลัวร์ เพลง All Cried Out สำหรับงานแต่งเพลง ยังร่วมเขียนเพลงให้กับเทรย์ โลเรนซ์ เพลง Make You Happy ในอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Men in Black และเธอได้ร่วมโปรดิวซ์อีก ให้กับ เพลง After ของวงเซเว่น ไมล์ และ เพลง Don't Go Looking For Love ของวงบลาค (Blaque) และได้แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง How The Grinch Stole Christmas เพลง Where Are You Christmas ขับร้องโดยเฟธ ฮิลล์ (Faith Hill)

ระหว่างปี ค.ศ. 1998 มารายห์ แครี่มีข่าวคราวกับนักกีฬาเบสบอล เดเรค เจเตอร์ (Derek Jeter) สังกัดนิวยอร์ก แยงกี้ส์ ในปี ค.ศ. 1998 เธอออกอัลบั้มรวมเพลงอันดับ 1 ทั้งหมดของเธอ "#1s" โดยมีเพลงดังอย่าง I Still Believe ที่เป็นเพลงเก่าของเบรนด้า เค. สตารร์ เพลงฮิตในปี ค.ศ. 1988 ที่มารายห์ได้มีส่วนร่วมในการคอรัสด้วยครั้งนั้น และที่สร้างความประหลาดใจคือ เธอได้ร่วมงานร้องเพลงคู่กับ วิทนีย์ ฮูสตัน ในเพลง When You Believe ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Prince Of Egypt เพลงนี้ยังได้รางวัลจากเวทีออสการ์ อีกด้วย

ในปีนั้นเธอยังได้มีส่วนร่วมกับงาน VH1 Divas ทางช่องวีเอชวัน โดยเป็นคอนเสิร์ตที่รวมศิลปินหญิงชื่อดังอย่าง อารีธา แฟรงคลิน,เซลิน ดิออน,กลอเรีย เอสเตฟาน,คาโรล์ คิง และ ชาเนีย ทเวน

ในปี ค.ศ. 1999 เธอได้ออกอัลบั้ม Rainbow ที่เธอได้ลงมาในทางฮิปฮอป และ อาร์แอนด์บี อย่างอัลบั้ม Butterfly เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล Hearbreaker ที่ได้เจ-ซี (Jay-Z) มาร่วมร้อง มิวสิกวิดีโอเพลงนี้ได้ใช้เงินลงทุนมากที่สุดของเธอเลย ซิงเกิ้ลที่ 2 Thank God I Found You ได้ร่วมงานกับโจ (Joe) และวงไนน์ตี้เอท ดีกรีส์ (98 Degrees) เพลงนี้เป็นเพลงอันดับ 1 เพลงที่ 15 ในอเมริกาของเธอ ฝั่งอังกฤษเธอได้ปล่อยซิงเกิ้ล Against All Odds (Take A Look At Me Now) เพลงเก่าของฟิล คอลลินส์ (Phil Collins) ในปี ค.ศ. 1984 โดยได้ร่วมร้องกับวงบอยแบนด์ เวสท์ไลฟ์ ก็ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ถือเป็นเพลงอันดับ 1 ในอังกฤษเป็นเพลงที่ 2 ของเธอ ตัวอัลบั้มในอเมริกาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับอัลบั้มชุดก่อนๆ โดยขึ้นอันดับ 2 ในอเมริกา

ท้ายปี นิตยสารบิลบอร์ด ได้แจกรางวัลให้กับเธอ รางวัล Billboard's Artist of the Decade Award และเธอยังได้รางวัลจาก World Music Award รางวัล The Best-Selling Female Artist of the Millennium นอกจากนี้เธอยังทำสถิติเป็นศิลปินคนเดียวในประวัติศาสตร์บิลบอร์ดที่มีเพลงอันดับ 1 ทุกๆปีในยุค 90s (1990-1999) [8]

เธอได้ก้าวสู่ฐานะศิลปินแนวอาร์แอนด์บี โดย ได้ทำงานกับเจ-ซี เพลง Things That U Do และ Got A Thing For You ของดา แบรท (Da Brat)

[แก้] อุปสรรคในเรื่องส่วนตัวและอาชีพ ปี 2001 ถึง 2003

จากหนังเรื่อง Glitter (ปี 2001)
จากหนังเรื่อง Glitter (ปี 2001)

มารายห์ แครีประสบความสำเร็จในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ช่วงขาลงของเธอก็มาถึง เธอได้สิ้นสุดสัญญากับโซนี่และไดเซ็นสัญญากับ EMI ด้วยเงิน 70 ล้านปอนด์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 และถูกยกเลิกสัญญาจาก EMI ในต้นปีค.ศ. 2002 ด้วยเงิน 19 ล้านปอนด์ เป็นที่รู้กันว่าในช่วงนั้นร่างกายและจิตใจเธอทรุดโทรมลงมาก เธอได้ทิ้งข้อความเสียงลงเว็บไซต์ของเธอ (ที่ถูกเอาออกอย่างรวดเร็ว) ถึงเรื่องการทำงานหนักมากของเธอในรอบหลายปี นอกจากนั้นความสัมพันธ์กับนักร้องละติน ลุยส์ มิเกล (Luis Miguel) ก็จบลง มารายห์ได้แสดงกิริยาหลุดโลกในรายการของเอ็มทีวี รายการ TRL โดยถอดเสื้อผ้าออกกลางรายการ [9]

เธอได้แสดงหนังเรื่องแรกเป็นตัวเอกในเรื่องกึ่งอัตชีวประวัติของเธอ "Glitter" หนังออกฉายในวันที่ 21 กันยายน หนังเรื่องนี้ถูกวิจารณ์อย่างมากและล้มเหลวในตารางบ็อกซ์ ออฟฟิส เมื่อเวอร์จิ้น เรคคอร์ดส ออกขายอัลบั้มที่ 10 ของเธอ "Glitter" มารายห์ก็ไม่สามารถที่จะโปรโมตอัลบั้มชุดนี้ได้เท่าที่ควรเนื่องจากเธอปัญหาเรื่องสุขภาพ และการวางขายอัลบั้มในวันที่แย่ที่สุดคือ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 อัลบั้มเข้าชาร์ทที่อันดับ 7 ซึ่งแย่ที่สุดที่เคยทำได้ อัลบั้มก็ถูกนักวิจารณ์สับเละ "Loverboy" ซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มนี้ขึ้นสูงสุดอันดับ 2 เนื่องจากแคมเปญลดราคาเหลือ 99 cent และยอดการเปิดออกอากาศที่น้อยมาก มารายห์ได้ร้องเพลง Hero ในวันที่ 21 กันยายน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการหาเงินหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 ก.ย. และในเดือนธันวาคมเธอได้ร้องเพลงให้กับกองทับอเมริกันก่อนไปโคโซโว

หลังออกอัลบั้ม Glitter บ.โซนี่ได้ออกอัลบั้ม "Greatest Hits" ก่อนช่วงคริสต์มาส อัลบั้มนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จในชาร์ท

เดือนมกราคม ค.ศ. 2002 EMI ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเธอด้วยเงิน 28 ล้านเหรียญ และเธอได้เซ็นสัญญาอีกครั้งกับ Island Records' Def Jam ในปี 2002 ในช่วงนี้พ่อของเธออัลเฟรด รอย แครีเสียชีวิตด้วยโรงมะเร็ง

เธอได้ร่วมแสดงเป็นตัวประกอบในหนังเรื่อง "WiseGirls" มารายห์ ได้ออกอัลบั้ม "Charmbracelet" กับสังกัดใหม่ ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 2002 ขึ้นชาร์ทอัลบั้มสูงสุดอันดับ 3 ในอัลบั้มนี้เธอได้ถ่ายทอดเพลงผ่านบทเพลงซึ่งมีความหมายกับเธอและแฟนเพลง อย่างเพลง Through The Rain นอกจากนั้นในอัลบั้มนี้ยังมีเพลง Boy (I Need You)ได้ร่วมงานกับแร็ปเปอร์ แคมรอน(Cam'ron) รวมถึงเพลงเก่าของเดฟ เล็พพาร์ดปี 1993 ที่เธอนำมาทำใหม่ Bringin' On The Heartbreak

ในปี 2003 เธอได้ร่วมงานกับบัสตา ไรมส์ (Busta Rhymes) ในเพลง I Know What You Want เพลงนี้ขึ้นสูงสุดอันดับ 3 ในอเมริกา และบรรจุอยู่ในอัลบั้มรีมิกซ์ (The Remixes) ของเธอด้วย

[แก้] การกลับมาของเธอ ปี 2004 ถึงปัจจุบัน

จากมิวสิกวิดีโอ We Belong Together
จากมิวสิกวิดีโอ We Belong Together

ในปี 2004 มารายห์ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำอัลบั้ม The Emancipation of Mimi ในช่วงปลายปี 2004 เธอได้ร่วมงานกับจาดาคิส (Jadakiss) ในเพลง U Make Me Wanna ซึ่งสามารถเข้าถึง Top 10 บน Billboard's R&B/Hip-Hop Singles chart

มารายห์ แครี่ได้พรีเมียร์เพลง It's Like That ที่ Pure Club ในลาสเวกัส ได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดี และเพลงนี้ก็ขึ้นสูงสุดอันดับ 16 ในบิลบอร์ดชาร์ท สื่อต่างๆให้ความเห็นว่านี่คือการกลับมาของมารายห์ อัลบั้ม "The Emancipation of Mimi" เธอได้ร่วมงานกับเน็ปจูนส์ (Neptunes), คานเย่ เวสท์ (Kanye West) รวมไปถึงเจอร์เมน ดูปริ อัลบั้มยังได้ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทอัลบั้มบิลบอร์ดตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางขาย ซิงเกิ้ลที่ 2 "We Belong Together" ได้ถูกโหมกระหน่ำจากวิทยุ จนขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทซิงเกิ้ลบิลบอร์ดเป็นเวลานานถึง 14 สัปดาห์ ถือเป็นเพลงอันดับ 1 ของเธอเพลงแรกในรอบ 5 ปี และเป็นหนึ่งในซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอ ซิงเกิ้ลที่ 3 "Shake It Off" ก็ยังได้รับการเปิดทางสถานีวิทยุอย่างมาก จนทำให้ขึ้นสูงสุดอันดับ 2 ในชาร์ทซิงเกิ้ลบิลบอร์ด

2 กรกฎาคม 2005 เธอได้ร่วมแสดงในงาน Live 8 ที่เวทีลอนดอน โดยร้องเพลง "Make It Happen" และ "Hero"ซึ่งร้องกับคณะประสานเสียง African Children's Choir และจบด้วยเพลง "We Belong Together" โดยมีเพื่อนเก่าอย่างแรนดี้ แจ็คสัน (Randy Jackson) (คณะกรรมการอเมริกัน ไอดอล) มาร่วมแสดง

ซิงเกิ้ลที่ 4 "Don't Forget About Us" ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทซิงเกิ้ลบิลบอร์ดเป็นเพลงที่ 17 ทำให้เธอมีสถิติเป็นศิลปินที่มีอันดับ 1 มากที่สุดเท่ากับเอลวิส เพรสลีย์ (รองจากวงเดอะ บีทเทิ้ลส์ที่มีจำนวนอันดับ 1 ถึง 20 เพลง)

อัลบั้ม "The Emancipation of Mimi" ชุดนี้ก็เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดประจำปีและได้ 3 รางวัลแกรมมี่อวอร์ดส (Best Contemporary R&B Album,Best R&B Song: "We Belong Together" ,Best Female R&B Vocal Performance) [10]

มารายห์เริ่มทัวร์ The Adventures of Mimi ช่วงซัมเมอร์ ปี 2006 และได้เริ่มกับผลงานอัลบั้มชุดใหม่ซึ่งคาดว่าจะออกในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2007 และ ในปี2007, เธอจะได้รับรางวัล "recording star" บน Hollywood Walk of Fame และจะได้รับตำแหน่ง the Long Island Music Hall of Fame

เพลง "Don't Forget About Us" ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 2 สาขา คือ "Best R&B Song" และ "Best Female R&B Vocal Performance"

[แก้] บทบาททางการแสดง

จากหนังเรื่อง WiseGirls (ปี 2002)
จากหนังเรื่อง WiseGirls (ปี 2002)

มารายห์ได้ก้าวเข้าสู่หนทางการเป็นนักแสดง โดยได้เริ่มเรียนการแสดงในปี 1997 ปีถัดมาเธอได้ออดิชั่นและได้แสดงเป็นตัวประกอบในหนังเรื่อง The Bachelor (1999)นำแสดงโดย คริส โอ ดอนเนลล์ (Chris O'Donnell) และเรเน่ เซลเวเกอร์ (Renée Zellweger) โดยเธอแสดงเป็นนักร้องโอเปร่าสาว ได้รับเสียงวิจารณ์ไม่ดีนักสำหรับเรื่องแรก

เรื่องต่อมาเธอได้แสดงในหนังกึ่งอัตชีวประวัติของเธอ Glitter (2001) โดยครั้งนี้เธอได้แสดงเป็นตัวนำ แสดงร่วมกับแม็กซ์ บีสลีย์ (Max Beesley) เรื่องนี้ล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์ เรื่องที่ 3 ของเธอได้แสดงเป็นตัวประกอบในเรื่อง WiseGirls (2002)แสดงร่วมกับมิร่า ซอวิโน (Mira Sorvino) และ เมโลรา วอลเตอร์ส(Melora Walters) โดยในเรื่องนี้เธอได้รับบทเป็นสาวเสิร์ฟ และเธอยังได้แสดงในหนังเรื่อง Death of a Dynasty (2003) และ State Property 2 (2005)

ในส่วนทางด้านทีวีเธอได้ร่วมแสดงใน Ally McBeal ช่วงเดือนมกราคม ปี 2002 ล่าสุดในปี 2006 เธอได้แสดงในหนังอินดี้เรื่อง Tennessee รับบทเป็นสาวเสิร์ฟที่เดินทางกับพี่ชาย 2 คนเพื่อตามหาพ่อที่หายไป

[แก้] สไตล์เพลง และ ความสามารถ

มารายห์เคยพูดว่าเธอได้ถูกกระตุ้นจากนักร้องอาร์แอนด์บีและโซลจากศิลปินอย่าง บิลลี ฮอลิเดย์ (Billie Holiday), ซาราห์ วอห์น (Sarah Vaughan), แกลดีส์ ไนท์ (Gladys Knight), อารีธา แฟรคลิน (Aretha Franklin), อัล กรีน (Al Green) และ สตีวี วันเดอร์ (Stevie Wonder) เธอได้รับอิทธิพลจากดนตรีแนวกอสเปล และนักร้องแนวกอสเปลที่เธอชื่นชอบคือ เดอะ คลาร์ก ซิสเตอร์ส (The Clark Sisters), เชอร์ลีย์ เซซาร์ (Shirley Caesar) และ เอดวิน ฮอกินส์ (Edwin Hawkins) [11] แต่เมื่อเธอเริ่มทำเพลงในสไตล์ฮิปฮอป เธอถูกกล่าวว่ากำลังทำเพลงที่นิยมในขณะนั้น เธอบอกกับนิตยสาร Newsweek ว่า "ไม่มีใครเข้าใจว่า ฉันเติบโตมากับดนตรีจำพวกนี้" [12] โดยเธอออกมาเปิดเผยว่าเธอชื่นชอบศิลปินอย่าง The Sugarhill Gang, Eric B. & Rakim, the Wu-Tang Clan, The Notorious B.I.G. และ Mobb Deep, ที่เธอได้ร่วมงานในเพลง "The Roof (Back in Time)"

[แก้] เสียงร้อง

มารายห์ แครีเป็นนักร้องโคโลราทูราโซปราโน (coloratura soprano นักร้องระดับเสียงสูงสุดของผู้หญิงที่สามารถใช้เสียงได้หลากหลายด้วยเทคนิคอันแพรวพราวและร้องเสียงเฮดโทนวอยซ์ได้) เสียงเธอมีความกว้างถึงห้าออกเตฟและมีเอกลักษณ์จากความสามารถในการร้องเสียงสูงในwhistle register (เสียงร้องเสียงสูงที่สูงกว่า E6) โน้ตที่สูงที่สุดที่เธอร้องได้คือ G#7 (โน้ตที่สูงกว่า C7 ซึ่งเป็นโน้ตสูงสุดบนคีย์บอร์ดมาตรฐานอยู่ห้าเสียงครึ่ง หรือสูงกว่าโน้ตสูงที่สุดบนคีย์ของเปียโนซึ่งมีอยู่ 88 คีย์) มารายห์จัดว่าเป็น นักร้องที่มีเสียงดีที่สุดตลอดกาลของวงการเพลงป๊อป [13] อีกด้วย

ในปี 2003 มารายห์ถูกโหวตให้เป็นนักร้องเสียงดีที่สุดจากรายการ The Greatest Voices in Music ของสถานีโทรทัศน์เอ็มทีวี และนิตยสาร Blender ของอเมริกา แซงหน้าคู่แข่งอย่าง วิทนีย์ ฮูสตัน ซึ่งอยู่อันดับ 3 คริสติน่า อากีเลร่า อันดับห้า และ เซลีน ดิออน ซึ่งอยู่อันดับที่เก้า

ท่าทางการร้องเพลงของมารายห์ แครีในคอนเสิร์ตมีเอกลักษณ์อยู่การแกว่างแขนซ้ายของเธอขณะร้องเพลง ครูสอนร้องเพลงหลายๆ ท่านกล่าวแนะนำการกระทำอย่างนี้ว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้เทคนิคในการร้องเพลงดีขึ้น

มารายห์ แครีมักจะได้รับคำกล่าวอย่างผิดๆ ว่ามีเสียงร้องถึงเจ็ดออกเตฟ สาเหตุเนื่องจากการกล่าวเกินจริงในสมัยที่เธอเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ [14] บางทีคำกล่าวนี้อาจจะเกิดจากการเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถในการใช้เสียงของเธอในการร้องเสียงสูงในwhistle register โดยเฉพาะโน้ตเพลงในออกเตฟที่เจ็ด

[แก้] ธีมและสไตล์เพลง

มารายห์มักจะเขียนเพลงที่มีเนื้อเพลงเกี่ยวกับความรัก บางครั้งเธอก็ได้เขียนเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับการเหยียดสีผิว ความตาย ความหิวโหย และเรื่องของความเชื่อจิตและวิญญาณ โดยภาคดนตรี ได้ใช้เครื่องดนตรีอีเลคโทรนิค เช่น ดรัม แมชชีน,คีย์บอร์ด และ เครื่องสังเคราะห์เสียง โดยหลายๆเพลงของเธอจะมีเปียโนประกอบอยู่ด้วย เธอเคยเรียนเปียโนตอนอายุ 6 ขวบ แต่เธอบอกว่าเธอไม่สามารถอ่านโน้ตได้แต่ชอบที่จะร่วมแต่งเพลงกับนักเปียโนเเวลาแต่งเพลง และมันง่ายกว่าที่จะทดลองด้วยการรวมเมโลดี้และโครงสร้างคอร์ดด้วยวิธีนี้ การเรียบเรียงเพลงของเธอได้รับอิทธิพลจาก สตีวี่ วันเดอร์ ที่เธอเคยยกยอว่าเป็นอัจฉริยะแห่งศตวรรษที่ 20 [15]

มารายห์เริ่มรีมิกซ์เพลงของเธอตั้งแต่ช่วงต้น และเป็นผู้นำที่จะทำการร้องใหม่ในรีมิกซ์ของเธอ โดยดีเจ เดวิด มอราเลสได้ร่วมงานกับเธออยู่หลายครั้ง เริ่มจากเพลง "Dreamlover" (ปี 1993) รีมิกซ์ของเพลงนี้ได้รับความนิยมในหมู่วงการเพลงเฮาส์ โดย Slant magazine ยกย่องให้เป็นเพลงเต้นรำที่ดีที่สุดเพลงหนึ่ง [16] เพลง "Fantasy" (ปี 1995) เธอได้ร่วมแต่งรีมิกซ์ทั้งเวอร์ชันฮิปฮอปและเฮาส์ หนังสือ Entertainment Weekly ได้ยกให้ทั้งสองรีมิกซ์ของเพลง Fantasy เป็นหนึ่งเพลงเยี่ยมที่สุดของเธอ[17]

มารายห์ยังคงร่วมงานการทำเพลงรีมิกซ์กับโปรดิวเซอร์อย่าง เดวิด โมราเลส ,เจอร์เมน ดูปริ,จูเนียร์ วาสเควซ และ ดีเจ คลูย์

[แก้] กิจกรรมการกุศล และ กิจกรรมอื่นๆ

มารายห์เธอได้เป็นคนใจบุญใจกุศล ได้ร่วมการบริจาคเงินนับล้านๆดอลล่าร์ให้กับองค์กรการกุศลอย่างเช่น Make-A-Wish Foundation,National Adoption Center,โครงการVH1's Save The Music Foundation,Fresh Air Fund และอื่นๆ

มารายห์ได้เป็นที่รู้จักกันดีในการช่วยเหลืองานในมูลนิธิ Make-A-Wish Foundation (ช่วยเหลือเด็กที่ป่วย) นอกจากนั้นเธอยังเป็นอาสาสมัครให้กับ New York Presbyterian Hospital Cornell Medical Center ยอดการขายอัลบั้ม MTV Unplugged ก็ได้บริจาคให้การกุศลหลายโครงการ

ในปี 1998 เธอได้ร่วมงานกับวีเอชวัน Divas Live ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตหารายได้ให้กับเด็กที่ขาดแคลนเครื่องดนตรีในมูลนิธิ Save the Music Foundation โครงการนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

เธอร่วมร้องเพลงในงาน America: A Tribute to Heroes เป็นการหารายได้ทางทีวีเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน และในเดือนธันวาคม 2001 เธอได้ร้องเพลงให้กับกองทัพอเมริกันก่อนไปโคโซโว นอกจากนั้นเธอยังได้เป็นพิธีกรให้กับรายการพิเศษของสถานี CBS รายการ At Home for the Holidays เป็นสารคดีเกี่ยวกับลูกอุปถัมภ์ เธอยังได้ร่วมงานกับ New York City Administration for Children's Services ในปี 2005 เธอได้ร่วมแสดงในงาน Live 8 ในลอนดอนและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา

[แก้] ผลงาน

ดูบทความหลักที่ ผลงานของมารายห์ แครี

[แก้] สตูดิโออัลบั้ม

[แก้] อัลบั้มอื่นๆ

[แก้] Video/DVD

  • 1991: The First Vision
  • 1992: MTV Unplugged +3
  • 1994: Here Is Mariah Carey
  • 1996: Fantasy: Mariah Carey at Madison Square Garden
  • 1999: Around the World
  • 1999: #1's

[แก้] ทริบิ้วอัลบั้ม

  • 2004: The String Quartet Tribute to Mariah Carey
  • 2005: Butterfly Melodies: The Piano Tribute to Mariah Carey
  • 2005: Smooth Sax Tribute to Mariah Carey's Greatest Hits

[แก้] ผลงานการแสดง

  • The Bachelor (1999)
  • Glitter (2001)
  • WiseGirls (2002)
  • Death of a Dynasty (2003)
  • State Property 2 (2005)
  • Tennessee

[แก้] ทัวร์คอนเสิร์ต

  • 1993: Music Box Tour
  • 1996: Daydream World Tour
  • 1998: Butterfly World Tour
  • 2000: Rainbow World Tour
  • 2003–2004: Charmbracelet World Tour
  • 2006: The Adventures of Mimi Tour

[แก้] อ้างอิง

  1. World Music Awards
  2. 33rd Grammy Awards - 1991จากเว็บไซต์ rockonthenet.com
  3. Wilson&Alroys's Record Review: Carole Kings
  4. All I want for Christmas is you จาก mcarchives.com
  5. เพลงอันดับ 1 นานที่สุดในบิลบอร์ด จากเว็บไซต์ bbc.co.uk
  6. อันดับเพลงในปี 1996 จาก alaskajim.com
  7. Shapiro, Marc. Mariah Carey (2001). หน้า 97-98. UK: ECW Press, Canada. ISBN 1-55022-444-1.
  8. No. 1 single for every year of the 1990's
  9. Carey Shocked by MTV Striptease Fuss จาก The Internet Movie Database วันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ 2002
  10. มารายห์ รับสาม, ยูทู กวาดสี่ รางวัลแกรมมี 2006
  11. Norent, Lynn. "Mariah Carey: 'Not another White girl trying to sing Black'". Ebony. March 1991.
  12. Shapiro, Marc. Mariah Carey (2001). หน้า 124. UK: ECW Press, Canada. ISBN 1-55022-444-1.
  13. 100 Greatest 'Female' Pop Vocalistsจาก Digitaldreamdoor.com
  14. Mariah Carey possesses a seven-octave vocal rangeใน snopes.com
  15. Gardner, Elysa. "Cinderella Story". VIBE. April 1996.
  16. 100 Greatest Dance Songs: 100–91".
  17. Gem Carey Entertainment Weekly. January 2006. Retrieved March 12, 2006.

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

Commons
คอมมอนส์ มีรูปภาพและสื่อในรูปแบบอื่นๆ เกี่ยวกับ:

Static Wikipedia (no images)

aa - ab - af - ak - als - am - an - ang - ar - arc - as - ast - av - ay - az - ba - bar - bat_smg - bcl - be - be_x_old - bg - bh - bi - bm - bn - bo - bpy - br - bs - bug - bxr - ca - cbk_zam - cdo - ce - ceb - ch - cho - chr - chy - co - cr - crh - cs - csb - cu - cv - cy - da - de - diq - dsb - dv - dz - ee - el - eml - en - eo - es - et - eu - ext - fa - ff - fi - fiu_vro - fj - fo - fr - frp - fur - fy - ga - gan - gd - gl - glk - gn - got - gu - gv - ha - hak - haw - he - hi - hif - ho - hr - hsb - ht - hu - hy - hz - ia - id - ie - ig - ii - ik - ilo - io - is - it - iu - ja - jbo - jv - ka - kaa - kab - kg - ki - kj - kk - kl - km - kn - ko - kr - ks - ksh - ku - kv - kw - ky - la - lad - lb - lbe - lg - li - lij - lmo - ln - lo - lt - lv - map_bms - mdf - mg - mh - mi - mk - ml - mn - mo - mr - mt - mus - my - myv - mzn - na - nah - nap - nds - nds_nl - ne - new - ng - nl - nn - no - nov - nrm - nv - ny - oc - om - or - os - pa - pag - pam - pap - pdc - pi - pih - pl - pms - ps - pt - qu - quality - rm - rmy - rn - ro - roa_rup - roa_tara - ru - rw - sa - sah - sc - scn - sco - sd - se - sg - sh - si - simple - sk - sl - sm - sn - so - sr - srn - ss - st - stq - su - sv - sw - szl - ta - te - tet - tg - th - ti - tk - tl - tlh - tn - to - tpi - tr - ts - tt - tum - tw - ty - udm - ug - uk - ur - uz - ve - vec - vi - vls - vo - wa - war - wo - wuu - xal - xh - yi - yo - za - zea - zh - zh_classical - zh_min_nan - zh_yue - zu -

Static Wikipedia 2007 (no images)

aa - ab - af - ak - als - am - an - ang - ar - arc - as - ast - av - ay - az - ba - bar - bat_smg - bcl - be - be_x_old - bg - bh - bi - bm - bn - bo - bpy - br - bs - bug - bxr - ca - cbk_zam - cdo - ce - ceb - ch - cho - chr - chy - co - cr - crh - cs - csb - cu - cv - cy - da - de - diq - dsb - dv - dz - ee - el - eml - en - eo - es - et - eu - ext - fa - ff - fi - fiu_vro - fj - fo - fr - frp - fur - fy - ga - gan - gd - gl - glk - gn - got - gu - gv - ha - hak - haw - he - hi - hif - ho - hr - hsb - ht - hu - hy - hz - ia - id - ie - ig - ii - ik - ilo - io - is - it - iu - ja - jbo - jv - ka - kaa - kab - kg - ki - kj - kk - kl - km - kn - ko - kr - ks - ksh - ku - kv - kw - ky - la - lad - lb - lbe - lg - li - lij - lmo - ln - lo - lt - lv - map_bms - mdf - mg - mh - mi - mk - ml - mn - mo - mr - mt - mus - my - myv - mzn - na - nah - nap - nds - nds_nl - ne - new - ng - nl - nn - no - nov - nrm - nv - ny - oc - om - or - os - pa - pag - pam - pap - pdc - pi - pih - pl - pms - ps - pt - qu - quality - rm - rmy - rn - ro - roa_rup - roa_tara - ru - rw - sa - sah - sc - scn - sco - sd - se - sg - sh - si - simple - sk - sl - sm - sn - so - sr - srn - ss - st - stq - su - sv - sw - szl - ta - te - tet - tg - th - ti - tk - tl - tlh - tn - to - tpi - tr - ts - tt - tum - tw - ty - udm - ug - uk - ur - uz - ve - vec - vi - vls - vo - wa - war - wo - wuu - xal - xh - yi - yo - za - zea - zh - zh_classical - zh_min_nan - zh_yue - zu -

Static Wikipedia 2006 (no images)

aa - ab - af - ak - als - am - an - ang - ar - arc - as - ast - av - ay - az - ba - bar - bat_smg - bcl - be - be_x_old - bg - bh - bi - bm - bn - bo - bpy - br - bs - bug - bxr - ca - cbk_zam - cdo - ce - ceb - ch - cho - chr - chy - co - cr - crh - cs - csb - cu - cv - cy - da - de - diq - dsb - dv - dz - ee - el - eml - eo - es - et - eu - ext - fa - ff - fi - fiu_vro - fj - fo - fr - frp - fur - fy - ga - gan - gd - gl - glk - gn - got - gu - gv - ha - hak - haw - he - hi - hif - ho - hr - hsb - ht - hu - hy - hz - ia - id - ie - ig - ii - ik - ilo - io - is - it - iu - ja - jbo - jv - ka - kaa - kab - kg - ki - kj - kk - kl - km - kn - ko - kr - ks - ksh - ku - kv - kw - ky - la - lad - lb - lbe - lg - li - lij - lmo - ln - lo - lt - lv - map_bms - mdf - mg - mh - mi - mk - ml - mn - mo - mr - mt - mus - my - myv - mzn - na - nah - nap - nds - nds_nl - ne - new - ng - nl - nn - no - nov - nrm - nv - ny - oc - om - or - os - pa - pag - pam - pap - pdc - pi - pih - pl - pms - ps - pt - qu - quality - rm - rmy - rn - ro - roa_rup - roa_tara - ru - rw - sa - sah - sc - scn - sco - sd - se - sg - sh - si - simple - sk - sl - sm - sn - so - sr - srn - ss - st - stq - su - sv - sw - szl - ta - te - tet - tg - th - ti - tk - tl - tlh - tn - to - tpi - tr - ts - tt - tum - tw - ty - udm - ug - uk - ur - uz - ve - vec - vi - vls - vo - wa - war - wo - wuu - xal - xh - yi - yo - za - zea - zh - zh_classical - zh_min_nan - zh_yue - zu

Static Wikipedia February 2008 (no images)

aa - ab - af - ak - als - am - an - ang - ar - arc - as - ast - av - ay - az - ba - bar - bat_smg - bcl - be - be_x_old - bg - bh - bi - bm - bn - bo - bpy - br - bs - bug - bxr - ca - cbk_zam - cdo - ce - ceb - ch - cho - chr - chy - co - cr - crh - cs - csb - cu - cv - cy - da - de - diq - dsb - dv - dz - ee - el - eml - en - eo - es - et - eu - ext - fa - ff - fi - fiu_vro - fj - fo - fr - frp - fur - fy - ga - gan - gd - gl - glk - gn - got - gu - gv - ha - hak - haw - he - hi - hif - ho - hr - hsb - ht - hu - hy - hz - ia - id - ie - ig - ii - ik - ilo - io - is - it - iu - ja - jbo - jv - ka - kaa - kab - kg - ki - kj - kk - kl - km - kn - ko - kr - ks - ksh - ku - kv - kw - ky - la - lad - lb - lbe - lg - li - lij - lmo - ln - lo - lt - lv - map_bms - mdf - mg - mh - mi - mk - ml - mn - mo - mr - mt - mus - my - myv - mzn - na - nah - nap - nds - nds_nl - ne - new - ng - nl - nn - no - nov - nrm - nv - ny - oc - om - or - os - pa - pag - pam - pap - pdc - pi - pih - pl - pms - ps - pt - qu - quality - rm - rmy - rn - ro - roa_rup - roa_tara - ru - rw - sa - sah - sc - scn - sco - sd - se - sg - sh - si - simple - sk - sl - sm - sn - so - sr - srn - ss - st - stq - su - sv - sw - szl - ta - te - tet - tg - th - ti - tk - tl - tlh - tn - to - tpi - tr - ts - tt - tum - tw - ty - udm - ug - uk - ur - uz - ve - vec - vi - vls - vo - wa - war - wo - wuu - xal - xh - yi - yo - za - zea - zh - zh_classical - zh_min_nan - zh_yue - zu