ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2498 เดิมชื่อ ศูนย์กลางอบรมการศึกษาผู้ใหญ่จังหวัดอุบลราชธานี มีชื่อย่อว่า ศ.อ.ศ.อ. เป็นหน่วยงานการศึกษานอกโรงเรียนในระดับภาค ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอุบลราชธานี
ปัจจุบัน เปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การศึกษานอกโรงงเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ "ศ.อ.ศ.อ." (ศนอ.) จังหวัดอุบลราชธานี เป็นสถานศึกษาสังกัด สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน โดยมี นายจรูญพงษ์ จีระมะกร เป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา และนายทรงเดช โคตรสิน เป็นรองผู้อำนวยการสถานศึกษา ซึ่งมีโครงสร้างการบริหารงานดังนี้
- กลุ่มอำนวยการ
- กลุ่มวิจัยและพัฒนาวิชาการ
- กลุ่มการศึกษาทางไกล
- กลุ่มวิทยุและโทรทัศน์
- งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
สารบัญ |
[แก้] ประวัติ
[แก้] จาก "ศ.อ.ศ.อ." ถึง "ศนอ."
บทความนี้ อ้างอิงมาจากหนังสือ ศ.อ.ศ.อ. 50 ปี ศนอ.[1]
ชื่อเดิมของ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ ศูนย์กลางอบรมการศึกษาผู้ใหญ่จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีชื่อย่อว่า ศ.อ.ศ.อ. หรือชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษ คือ TUFEC ซึ่งย่อมาจากคำเต็มว่า Thailand UNESCO Fundamental Education Centre นับเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง อยู่ในความดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ
ศ.อ.ศ.อ. ตั้งขึ้นตามมติที่ประชุมใหญ่ของ UNESCO ครั้งที่ 6 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2494 ที่มีบรรดาประเทศที่เป็นสมาชิก 64 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย (ม.ล.ปิ่น มาลากุล ปลัดกระทรวงศึกษาธิการสมัยนั้น เป็นหัวหน้าผู้แทนไทย) วึ่งมีมติเอกฉันท์ ให้ตั้งศูนย์กลางการศึกษาหลักมูลฐานขึ้นประจำภูมิภาต่างๆ ทั่วโลกขึ้น 6 แห่ง แต่สามารถสร้างได้เพียง 3 แห่ง
คำว่า ศ.อ.ศ.อ ย่อมาจากคำเต็มว่า " ศูนย์กลางอบรมการศึกษาผู้ใหญ่ จังหวัดอุบลราชธานี"
- ศ ตัวแรก ย่อมาจากคำว่า "ศูนย์กลาง"
- อ ตัวแรก ย่อมาจากคำว่า "อบรม"
- ศ ตัวหลัง ย่อมาจากคำว่า "การศึกษาผู้ใหญ่"
- อ ตัวหลัง ย่อมาจากคำว่า "จังหวัดอุบลราชธานี"
อักษรย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "TUFEC" ย่อมาจากคำเต็มว่า Thailand Unesco Fnndamental Edocation Centre สังกัดกองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันการศึกษาแห่งนี้มุ่งถึงการศึกษาและมูลสารศึกษา ( Fandamental Education ) มูลสารศึกษาเป็นรูปแบบหนึ่งของการศึกษาเบื้องต้น ที่จะช่วยให้การศึกษาทั่วๆไป แก่เด็กและผู้ใหญ่ให้มีความรู้ความสามารถที่จะประกอบอาชีพเพื่อยกระดับฐานะตลอดจนช่วยให้ประชาชนเข้าถึงปัญหาชุมชุน สามารถปลุกให้ชาวบ้านรู้จักและคำนึงถึงสิทธิหน้าที่ ของตนเองเมื่ออยู่ร่วมกันโดยสันติสุขในสังคม
กำเนิด ศ.อ.ศ.อ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง องค์การสหประชาชาติ ได้สำรวจดูประชาชนที่ยังไม่รู้หนังสือทั่วโลก ปรากฏว่ามีมากถึง 1,200 ล้านคน UNESCO ได้พิจารณาเห็นว่าการให้การศึกษาผู้ใหญ่ ประเภทหลักมูลสารการศึกษานี้จะช่วยให้ประชาชนได้รับการศึกษาและมีความรู้พอสมควรในอันที่จะยกระดับฐานะ การครองชีวิตในด้านการประกอบอาชีพ การอนามัย การเกษตร การอุตสาหกรรม การขจัดปัดเป่าปัญหาต่างๆ เพื่อให้มีชีวิตร่วมอยู่ด้วยกันในสังคมด้วยดี
ในปี พ.ศ. 2491 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม ได้เริ่มการดำเนินงาน ฝึกเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับมูลสารศึกษา โดยส่งผู้เชี่ยวชาญไปช่วยประเทศเฮติ จัดตั้งศูนย์กลางมูลสารศึกษษแห่งชาติ และได้รับผลเป็นที่พึงพอใจ
การประชุมใหญ่ของ UNESCO ครั้งที่ 6 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2494 มีบรรดาประเทศที่เป็นสมาชิก 64 ประเทศ ซึ่งมีประเทศทยรวมอยู่ด้วย (ม.ล. ปิ่น มาลากุล ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นหัวหน้าผู้แทนประเทศไทย) ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ตั้งศูนย์กลางหลักมูลสารศึกษาขึ้นประจำภาคต่างๆ ทั่วโลกขึ้น 6 แห่ง คือ
- กลุ่มละตินอเมริกัน 1 แห่ง
- กลุ่มอัฟริกากลาง 1 แห่ง
- กลุ่มประเทศอินเดีย 1 แห่ง
- กลุ่มภาคตะวันออกกลาง 1 แห่ง
- กลุ่มประเทศตะวันออกไกล 2 แห่ง
ศูนย์กลางการศึกษาหลักมูลฐานแห่งที่ 1 ของโลกเรียกว่า CREFAL มีชื่อเต็มว่า Centre Regional Education Fundamental American latin ตั้งขึ้นที่ แพทซ์คัวโร (Patzcuaro) ประเทศแม็กซิโก (Mexico) เริ่มดำเนินงานและเปิกเรียน เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 19 เดือน 6 เดือนแรก เป็นการศึกษาที่ศูนย์กลาง แล้วออกไปปฏิบัติงานในหมู่บ้านเป็นเวลา 10 เดือน และกลับมาปฏิบัติงานที่ศูนย์กลางอีก 3 เดือน รับนักศึกษาจาก 9 ประเทศ โดยใช้ภาษาสเปญเป็นหลัก และไม่มีความลำบากในเรื่องภาษาแพราะทุกประเทสใช้ภาษาสเปญ
ศูนย์กลางการศึกษาหลักมูลฐานแห่งที่ 2 ของโลกเรียกว่า ASFEC มีชื่อเต็มว่า Arab State Fundamental Education Centre ตั้งขึ้นที่ซิสซ์-เอล-ลายาน (Sies-el-Layan) ประเทศอียิปต์ (Egypt) เริ่มดำเนินงานและเปิดเรียนเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2496 ศูนย์กลางแห่งนี้รับนักศึกษาจากกลุ่มประเทศอาหรับ 6 ประเทศ คือ อียิปต์ จอร์แดน อิรัค เลบานอน อารเบียและซีเรีย ศูนย์กลางแห่งนี้ไม่มีความลำบากในเรื่องของภาษา เพราะทุกประเทศใช้ภาษาอาหรับ
ศูนย์ 2 แห่งนี้ มีขอบข่ายเป็นศูนย์กลางประจำภาค แต่ละแห่งรับนักศึกษาจากประเทศต่างๆ ในกลุ่มของตนเอง
ศูนย์กลางการศึกษาหลักมูลฐานแห่งที่ 3 ของโลกคือ ศ.อ.ศ.อ. ที่ตั้งขึ้นในจังหวัดอุบลราชธานีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของประเทศเดียว ส่วนศูนย์กลางแห่งที่ 4 และ 5 ยังมิได้ติดตั้งเพราะยูเนสโกเลิกล้มโครงการ
เมื่อเดือนพฤษศจิกายน 2494 ทางยูเนสโกได้ส่งนายจอร์น เบาเออร์ส (Mr.John Bowers) ให้สำรวจสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับจัดตั้งศูนย์กลางการศึกษามูลฐานและพิจารณาว่าสมควรจะจัดตั้งขึ้นที่ใดเจ้าหน้าที่ของไทยเราได้เสนอสถานที่ 2 แห่ง คือ ที่อ่างศิลา จังหวัดชลบุรี และที่จังหวัดอุบลราชธานี Mr.John Bowers มีความเห็นว่า จังหวัดชลบุรีมีความเจริญอยู่แล้วไม่เหมาะที่จะจัดตั้งศูนย์กลาง ดังนั้น Mr.John Bowers และนายพร ทองพูนศักดิ์ หัวหน้ากองฝึกหัดครูในขณะนั้นได้เดินทางไปสำรวจบริเวณโรงเรียนฝึกหัดครูอุบลราชธานี เห็นว่าเป็นที่เหมาะสมเพราะ
- จังหวัดอุบลราชธานี มีสภาพความเป็นอยู่คล้ายกับจังหวัดต่างๆ ในภาคอื่นๆ ของประเทศประกอบกับเป็นจังหวัดที่มีพลเมืองมากเป็นที่ 2 รองจากจังหวัดพระนคร สมควรอย่งยิ่งที่จะให้การศึกษาเพื่อให้เจริญก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่
- จังหวัดอุบลราชธานี มีความสะดวกสบายในการคมนาคม ทั้งทางเตรื่องบิน รถไฟ และรถยนต์ ซึ่งสะดวกกับการติดต่อกับจังหวัดพระนครอันเป็นศูนย์กลางของประเทศ และเวลาในการติดต่อทั้งสามทางนี้ก็ไม่กินเวลามากนัก ทั้งระยะทางกไม่ไกลจนเกินควร นอกจากนี้จังหวัดอุบลราชธานียังมีการคมนาคมติดต่อกับจังหวัดต่างๆ ในภาตะวันออกเฉียงเหนือ ได้สะดวกสบายทุกๆ จังหวัด และทุกๆฤดูกาล
- จังหวัดอุบลราชธานีได้พยายามปรับปรุงระบบการจัดการศึกษาทั้งทางโรงเรียนอนุบาล ปฐมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา เตรียมอุดมศึกษา และการฝึกหัดครู นับว่าเป็นจังหวัดที่ให้การศึกษาครบทุกแขนง เหมาะกับการที่จะให้เป็นสถานที่ทดลองการจัดการศึกษาหลักมูลฐาน
- ถ้าหากว่าศูนย์กลางการศึกษาหลักมูลฐานหลักนี้เป็นปึกแผ่นดีแล้ว ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นศูนย์กลางอบรมการศึกษาระหว่างชาติประจำภาคอาเซียตะวันออกขึ้น เพราะจังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดชายเดนทางด้านะวันออก ประเทศต่างๆที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ลาว เขมร ญวน ก็อาจจะมาศึกษาได้สะดวก
- ภายในบริเวณที่ตั้งศูนย์กลางแห่งนี้และรัศมีไม่เกิน 15 กิโลเมตร จากที่ตั้งศูนย์กลางมีหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งยังมีความต้องการที่จะบูรณะและปรับปรุงด้านการอนามัย การเกษตร การอุตสาหกรรม การจัดเคหะสถานบ้านเรือน การศึกษาและสวัสดิภาพของสังคม เพื่อเป็นขั้นทดลองในการดำเนินงาได้โดยสะดวก อีกอย่างหนึ่งเนื่องจากภาคนี้กันดารแห้งแล้งกว่าภาคอื่นๆ ประชาชนส่วนมากยากจนค่นแค้น สมควรที่จะปรับปรุงแก้ไขให้เจริญยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ประกอบด้วย นายอภัย จันทวิมล นายพร ทองพูนศักดิ์ นายบุญถิ่น อัตถากร Mr.Thomas Wilson Dr.Hutchinson และ Dr.Tieman และนายชวน ฉวีวงค์ ได้เดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2494 เพื่อสำรวจสถานที่ตลอดจนความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมของประชาชน ต่อมาในเดือนตุลาคม 2494 นายบุรินทร์ สิมพะลิก,ม.ล. มานิจ ชุมสาย Mr.Marshall. Dr.Allcot. Dr.Hutchinson และนายชวน ฉวีวงค์ ได้ไปสำรวจรายละเอียดบางประการของประชากรอีก เพราะ Mr.Marahall หัวหน้าผู้แทนยูเนสโกประจำประเทศไทยได้มารับงานต่อจาก Mr.Thomas Wilson
[แก้] ที่อยู่
เลขที่ 415 ถนนชยางกูร ตำบลในเมื่อง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี มีอาณาเขต ดังนี้
- ทิศตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ติดกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
- ทิศตะวันออก ติดกับ โรงเรียนกีฬาจังหวัดอุบลราชธานี และ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี
- ทิศตะวันตก ติดกับ โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธ์
- ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน อุบลราชธานี
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
- ↑ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ศ.อ.ศ.อ.50 ปี ศนอ., โรงพิมพ์ อุบลยงสวัสดิ์ออฟเซท, 2547
ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นบทความเกี่ยวกับ สถานศึกษา ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น ข้อมูลเกี่ยวกับ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ |