สงครามแห่งเวลส์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สงครามแห่งเวลส์ เป็นชื่อที่สื่อมวลชนใช้เรียกขานความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ชื่อนี้ได้รับแรงบันดาลใจมากจากชื่อสงครามซึ่งพระราชวงศ์ยอร์คและพระราชวงศ์กลอสเตอร์ได้รบกันเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์อังกฤษคือ สงครามกุหลาบ สงครามแห่งเวลส์ เริ่มขึ้นหลังจากที่สื่อมวลชนได้รับทราบว่าการทรงเสกสมรสของทั้งสองพระองค์นั้นไม่ราบรื่น และในปี พ.ศ. 2530 เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ก็ได้แยกกันอยู่อย่างเด็ดขาด
สารบัญ |
[แก้] ก่อนจะถึงสงครามแห่งเวลส์
วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และเลดี้ ไดอาน่า เสกสมรสกัน ณ มหาวิหารเซ้นท์ปอล ต่อหน้าแขก 3500 คน และผู้ชมทั่วโลก พระเจ้าแผ่นดินของทวีปยุโรปทุกพระองค์ได้เสด็จเข้าร่วมในพระราชพิธีนี้ (ยกเว้นสมเด็จพระราชาธิบดีจวน คาลอส แห่งสเปนเพราะทรงทราบหมายกำหนดการล่วงหน้าว่าเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์จะเสด็จไปประทับ "ฮันนีมูน" ที่สเปน)
จากการเสกสมรสกับรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ ไดอาน่าทรงรับพระอิสริยยศ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ พร้อมกับพระอิสริยศักดิ์รอยัล ไฮเนส (เทียบได้กับชั้น เจ้าฟ้า)[1]เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จไปประทับที่พระตำหนักไฮโกรฟ และพระราชวังแคนซิงตัน และเจ้าหญิงแห่งเวลส์ได้ทรงกลายเป็นจุดสนใจทั้งหมดทั้งมวลของบรรดานักข่าว ทุกพระอิริยาบถ ทุกความเคลื่อนไหว แม้แต่การไว้ทรงพระเกศาล้วนเป็นที่สนใจและติดตามโดยคนนับล้านทั้งสิ้น
[แก้] ทรงหย่า
เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เริ่มต้นชีวิตสมรสของพระองค์ด้วยความงดงาม หากแต่ทุกอย่างเริ่มไม่เป็นไปอย่างความคาดหมายของทุกคน ในระยะแรกเจ้าหญิงไม่สามารถทรงปรับพระองค์ให้เข้ากับชีวิตของความเป็นเจ้าฟ้าหญิงได้ และทรงทุกข์ทรมานจากพระโรค Bulimia (น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว) หลังจากหายจากพระโรค เจ้าหญิงได้มีพระประสูติกาลเจ้าชายวิลเลียม หลังจากนั้นอีก 3 ปี พระองค์ได้มีพระประสูติกาลอีกครั้ง เจ้าชายแฮร์รี ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์มาก เนื่องจากพระองค์ทรงหวังว่าพระองค์น่าจะได้พระธิดาจากการประสูติกาลครั้งที่ 2 นี้ เนื่องจากทรงโปรดลูกสาวของคามิลลา ปากเกอร์ โบลส์มากอีกทั้งยังมีข่าวลือหนาหูว่าแท้จริงแล้วเจ้าชายแฮร์รี่อาจไม่ใช่พระโอรสของพระองค์ รายงานข่าวส่วนหนึ่งเชื่อว่าทั้งสองพระองค์เริ่มแยกกันอยู่หลังจากการเสกสมรสเพียง 5 ปี บางคนเชื่อว่าเนื่องจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ไม่สามารถทนได้ที่พระชายาได้รับความชื่นชมมากกว่าพระองค์ (เช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับเจ้าฟ้าหญิงมาซาโกะ มกุฎราชกุมารีแห่งญี่ปุ่นในปัจจุบัน)ภาระทั้งหมดกลับตกไปที่ไดอาน่าในฐานะที่ควรจะ "ทรงทนให้ได้" เจ้าหญิงพยายามอย่างยิ่งที่จะพยายามเชื่อความสัมพันธ์ของพระองค์กับชาร์ลส์ไว้ให้นานที่สุด แต่ไม่เป็นผล สื่อมวลชนประโคมข่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กับคามิลลา ปากเกอร์ โบลส์ อย่างครึกโครม รวมทั้งประโคมข่าวระหว่างไดอานาเองกับผู้ชายอีกหลายคน นั่นทำให้ทั้ง 2 พระองค์คิดว่า เรื่องราวทั้งหมดควรจะจบลงเสียที ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ในขณะนั้น สื่อมวลชนเรียกว่า War of Waleses (สงครามแห่งเวลส์) หลังจากทรงปรึกษากับทุกคนรอบตัวอย่างรอบคอบ (โดยเฉพาะกับ ซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ค)ในปี พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงแห่งเวลส์ประทานสัมภาษณ์ เกี่ยวกับชีวิตส่วนพระองค์อย่างหมดเปลือก
"I'd like to be a queen of people's hearts, in people's hearts, but I don't see myself being Queen of this country," she said. "I don't think many people will want me to be Queen."
(ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเป็นพระราชินีของประชาชน เป็นราชินีภายในหัวใจของพวกเขา แต่ข้าพเจ้ามองไม่เห็นทางเลยที่ข้าพเจ้าเองจะเป็นพระราชินีของประเทศนี้ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะมีผู้คนมากนักปรารถนาให้ข้าพเจ้าเป็นพระราชินีของพวกเขา)
บทสัมภาษณ์ในระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมง[2] ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากการวางขายหนังสือ Diana, Her True Story ของ แอนดรูว์ มอร์ตัน ไม่นาน ทำให้ประชาชนเกิดความสงสารต่อเจ้าหญิงไดอานา และเกลียดชังเจ้าฟ้าชายชาลส์ ซึ่งทั้งการประทานสัมภาษณ์และหนังสือนั้น ไดอานาทรงเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังโดยที่สำนักพระราชวังไม่ทราบมาก่อน
[แก้] ท้ายที่สุด
ทั้งสองพระองค์เริ่มมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่แปลกประหลาด เจ้าชายประทับร่วมกับคามิลลา และเจ้าหญิงประทับกับเจมส์ เฮตวิต เจ้าชายประทับที่พระตำหนักไฮโกรฟ ส่วนเจ้าหญิงประทับที่พระราชวังเคนซิงตัน และโดยเฉพาะจากการประทานสัมภาษณ์คราวนั้นของเจ้าหญิงสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2และเจ้าฟ้าชายปิลิป ทรงหมดความอดทน และได้มีพระราชหัตถเลขารับสั่งให้เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงหย่าขาดจากกันทันที เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงหย่าขาดจากกันเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539 และจากพระบรมราชโองการของสมเด็จพระราชินีนาถ ลงวันที่ 21 สิงหาคม ปีเดียวกันนั้นสั่งว่าหญิงผู้ใดที่หย่าขาดจากเจ้าชายแห่งอังกฤษ จะต้องสูญเสียฐานันดรศักดิ์ รอยัลไฮเนส (Royal Highness) และอิสริยยศทั้งหมดที่ได้จากการอภิเษกสมรส พระราชโองการฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันทีกับไดอานาและซาราห์ [3]
[แก้] ดูเพิ่ม
[แก้] อ้างอิง
- ↑ ธรรมเนียมของฝั่งยุโรปนั้นหญิงที่แต่งงานกับชายโดยถูกต้องตามกฎหมายจะ "ต้อง" ได้รับยศทั้งหมดของสามีมา แม้ว่าหญิงนั้นจะมียศเดิมของตัวเองสูงกว่าก็จะไม่เสียยศเดิมของตนไป (เช่นเจ้าหญิงอเลกซานดร้า ไม่ได้ทรงเสียยศเจ้าหญิงของพระองค์เองไป และทรงเป็นเลดี้โอกิลวี่จากการสมรสกับเซอร์โอกิลวี่ด้วย) ในที่นี้ชาร์ลส์เป็น "เจ้าฟ้า" เพราะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน ไดอาน่าผู้เป็นพระสุณิสา (Daughter-in-law) ก็ย่อมต้องเป็นเจ้าฟ้าด้วยตามพระราชสวามี
- ↑ บทสัมภาษณ์เรื่องการหย่าของเจ้าหญิง
- ↑ อย่างไรก็ตามในฐานะที่ไดอานาทรงเป็นพระมารดาของรัชทายาทลำดับที่ 2 และ 3 และซาราห์ทรงเป็นพระมารดาของรัชทายาทลำดับที่ 5 และ 6 แห่งราชบัลลังก์อังกฤษ ไดอานาและซาราห์ยังคงทรงเป็นสมาชิกแห่งพระบรมราชวงศ์ของอังกฤษ (ทั้ง 2 พระองค์จะทรงพ้นจากความเป็นพระราชวงศ์ในกรณีเดียวเท่านั้นคือทรงเสกสมรสซ้ำอีกครั้ง) ถึงแม้ว่าไดอานาพยายามที่จะกราบทูลขอร้องต่อสมเด็จพระราชินีนาถ เพื่อที่จะไม่สูญเสียอิสริยยศ หากแต่ไม่เป็นผล เจ้าชายวิลเลียมทรงถวายสัญญากับพระมารดาว่าถ้าพระองค์เสด็จขึ้นทรงราชย์เมื่อไร พระองค์จะสถาปนาไดอานาให้เป็นยิ่งกว่า Royal Highness Princess อีก โดยมีกล่าวไว้ในหนังสือ Royal Duty