สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ชื่อเต็ม | Newcastle United Football Club | ||||||||||||||||||||||||||||||||
ฉายา | แม็กพายส์, ทูน | ||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อตั้ง | ค.ศ. 1892 | ||||||||||||||||||||||||||||||||
สนาม | เซนท์ เจมส์ พาร์ค นิวคาสเซิล อังกฤษ |
||||||||||||||||||||||||||||||||
ความจุ | 52,387 คน | ||||||||||||||||||||||||||||||||
ประธาน | เฟร็ดดี้ เช็พเพิร์ด | ||||||||||||||||||||||||||||||||
ผู้จัดการ | เกล็น โรเดอร์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||
ลีก | เอฟเอ พรีเมียร์ลีก | ||||||||||||||||||||||||||||||||
2005-06 | พรีเมียร์ลีก อันดับที่ 7 | ||||||||||||||||||||||||||||||||
|
สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (ฉายา แม็กพายส์ หรือ ทูน) เป็นทีมฟุตบอลอาชีพในประเทศอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองนิวคาสเซิล-อะพอน-ไทน์ ปัจจุบันนิวคาสเซิลเล่นอยู่ในเอฟเอ พรีเมียร์ลีก ตามสถิติแล้ว นิวคาสเซิลเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับที่ 7 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ นับตั้งแต่การก่อตั้งลีกฟุตบอลอาชีพของอังกฤษในปี ค.ศ. 1888
สโมสรนิวคาสเซิลถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1892 โดยเป็นผลมาจากการควบกิจการกันระหว่างทีมสโมสรท้องถิ่นสองทีม ได้แก่นิวคาสเซิล อีสท์ เอนด์ และนิวคาสเซิล เวสท์ เอนด์ สำหรับสนามเหย้าเซนท์ เจมส์ พาร์คนั้น เดิมเป็นสนามของฝั่งนิวคาสเซิล เวสท์ เอนด์
แฟนบอลนิวคาสเซิลมักจะเรียกตนเองว่า "ทูน อาร์มี" โดยชื่อนี้มีที่มาจากสำเนียงการออกเสียงคำว่า "town" ของชาวจอร์ดี
คู่ปรับสำคัญของนิวคาสเซิลคือซันเดอร์แลนด์ โดยเกมเตะระหว่างทั้งคู่ถือว่าเป็นดาร์บี้แมทช์แห่งไทน์-แวร์
สารบัญ |
[แก้] ประวัติสโมสร
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1881 ทีมคริกเก็ตสแตนลีย์ได้ตัดสินใจตั้งทีมฟุตบอลขึ้น เพื่อลงเล่นในช่วงที่ฤดูกาลแข่งขันคริกเก็ตปิดตัวลงในฤดูหนาว พวกเขาชนะเกมแรกที่ลงแข่งขันด้วยสกอร์ 5-0 โดยมีคู่แข่งเป็นทีมเอลสวิก เลเธอร์ เวิร์คส์ชุดสำรอง หนึ่งปีต่อมา ทีมก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิล อีสท์ เอนด์
ขณะเดียวกัน ทีมคริกเก็ตอีกทีมหนึ่งในย่านเดียวกันก็ได้เริ่มสนใจที่จะตั้งทีมฟุตบอล จนกระทั่งมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิล เวสท์ เอนด์ขึ้น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1882 โดยในช่วงแรกนั้น พวกเขาใช้สนามคริกเก็ตเิดิมเป็นสนามเหย้า ก่อนที่จะย้ายไปลงเตะในเซนท์ เจมส์ พาร์ค
หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งฟุตบอลลีกท้องถิ่นขึ้นในปี ค.ศ. 1889 การที่มีลีกอาชีพในบริเวณใกล้เคียงให้ลงเตะ ประกอบกับความสนใจในถ้วยเอฟเอ คัพ ทำให้นิวคาสเซิล อีสท์ เอนด์เปลี่ยนจากทีมสมัครเล่นมาเป็นทีมอาชีพในปีเดียวกันนั้นเอง แต่ทว่าทางฝั่งนิวคาสเซิล เวสท์ เอนด์กลับล้มเหลวที่จะตามรอยทีมเพื่อนบ้านสู่สถานะทีมฟุตบอลอาชีพ จนกระทั่งในช่วงต้นปี ค.ศ. 1892 ผู้บริหารของนิวคาสเซิล เวสท์ เอนด์ได้ตัดสินใจที่จะขอเข้าควบกิจการกับนิวคาสเซิล อีสท์ เอนด์ เพื่อมิให้ทีมต้องยุบตัวลงโดยสิ้นเชิง
การควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1892 ชื่อ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม
[แก้] การลงเตะอาชีพในช่วงแรก และตำแหน่งแชมป์เอฟเอ คัพ
นิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึงสามสมัยในช่วงทศวรรษ 1900s และยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่สามารถเป็นแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปี 1910 หลังจากเอาชนะบาร์นสลีย์ไปได้ในการเตะนัดรีเพลย์ที่กูดิสัน พาร์ค
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้อีกสมัยโดยการเอาชนะแอสตัน วิลลาในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ นอกจากนั้น นิวคาสเซิลยังเป็นแชมป์ลีกได้อีกหนึ่งสมัยในปี 1927 อีกด้วย
[แก้] ความสำเร็จในเอฟเอ คัพช่วงทศวรรษ 1950s
ในช่วงทศวรรษ 1950s นิวคาสเซิลเป็นแชมป์เอฟเอ คัพถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะแบล็กพูล 2-0 ในปี 1951 ชนะอาร์เซนอล 1-0 ในปี 1952 และชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี 3-1 ในปี 1955 โดยทีมนิวคาสเซิลในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอยู่หลายคนด้วยกัน เช่นแจคกี มิลเบิร์น, บ็อบบี มิทเชลล์, และสแตน ซีมัวร์
หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม โจ ฮาร์วีย์ ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี 1965 แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนัก
[แก้] แชมป์ถ้วยยุโรป
ทีมของฮาร์วีย์สามารถทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในปี 1968 ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วยอินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์ส คัพ (หรือถ้วยยูฟ่า คัพในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ติง ลิสบอน, เฟเยนูร์ด รอตเตอร์ดัม หรือ รีล ซาราโกซา และปิดท้ายด้วยการคว่ำทีมอุจเพสท์จากฮังการีในรอบชิงชนะเลิศ
นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่นกองหน้าชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวิน เดวีส์, ไบรอัน 'ป๊อบ' ร็อบสัน, บ็อบบี มอนเคอร์ หรือแฟรงค์ คลาร์ก
หลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสรยุโรป ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่จิมมี สมิธ, โทนี กรีน และเทอร์รี ฮิบบิทท์ ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่างมัลคอล์ม แมคโดแนลด์ เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอ คัพและลีกคัพกับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตีในปี 1974 และ 1976 ตามลำดับ แต่พลพรรคแม็กพายส์กลับล้มเหลวในรอบชิงทั้งสองครั้ง
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 อยู่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีมอาร์เธอร์ ค็อกซ์จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมีเควิน คีแกน อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษเป็นแกนหลัก จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด
หลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี 1989
[แก้] คืนสู่ลีกสูงสุด
ในปี 1992 เควิน คีแกนได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้น เข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ตัวคีแกนเองนั้นกล่าวว่า งานคุมทีมนิวคาสเซิลเป็นงานเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาหวนคืนสู่วงการฟุตบอลได้ ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 ถึงแม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดยเซอร์ จอห์น ฮอลล์ไปไม่นานก็ตาม
ในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลสามารถหนีรอดพ้นการตกชั้นไปได้ โดยเปิดบ้านเอาชนะปอร์ทสมัธก่อนจะบุกไปเอาชนะเลสเตอร์ ซิตีในสองเกมสุดท้ายของฤดูกาล
ในฤดูกาลถัดมา (1992-93) ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกด้วยชัยชนะเหนือกริมสบี ทาวน์ 2-0
[แก้] พรีเมียร์ลีก
นิวคาสเซิลประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดภายใต้การคุมทีมของคีแกน พวกเขาจบฤดูกาล 1993-94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชนอังกฤษว่าเป็น "The Entertainers"
ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู แอนดี โคล ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์บวกกับคีธ กิลเลสพี ปีกขวาดาวรุ่งชาวไอริช
ในปี 1995-96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดังเช่นดาวิด ชิโนลาและเลส เฟอร์ดินานด์มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วงคริสต์มาส พวกเขาทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนน เกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับลิเวอร์พูลไป 3-4 ที่สนามแอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
นิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้าทีมชาติอังกฤษ อลัน เชียเรอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15 ล้านปอนด์ สำหรับฤดูกาล 1996-97 นี้ เป็นที่จดจำของแฟนบอลหลายคน เนื่องจากนิวคาสเซิลได้ถล่มเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปด้วยสกอร์ถึง 5-0 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1996
คีแกนลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในเดือนมกราคม ปี 1997 และถูกแทนที่โดยเคนนี ดัลกลิช ซึ่งได้รับเลือกเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาเกมรับของทีม ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 1997-98 ดัลกลิชพานิวคาสเซิลเข้าไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก และพ่ายต่ออาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอ คัพไป 0-2 หลังจากนั้น แฟนบอลก็เริ่มที่จะไม่พอใจกับสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรับของดัลกลิช เมื่อบวกกับผลงานที่ตกต่ำลงของทีม เป็นผลให้ดัลกลิชถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงต้นฤดูกาล 1998-99
รุด กุลลิทก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากดัลกลิช และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพอีกครั้ง ก่อนจะพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปในที่สุด แต่กุลลิทได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคน ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่นมาร์เซลิโน กองหลังชาวสเปน และซิลวิโอ มาริช มิดฟิลด์โครแอท นอกจากนี้กุลลิทยังมีปากเสียงกับผู้เล่นคนสำคัญหลายคนในทีม ทั้งหมดนี้ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้กุลลิทถูกกดดันให้ลาออกไป
นิวคาสเซิลตัดสินใจแต่งตั้งเซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชาวจอร์ดี เข้ามากู้สถานการณ์ของทีม ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในโซนตกชั้น เกมเหย้าเกมแรกของนิวคาสเซิลภายใต้ร็อบสันจบลงด้วยชัยชนะ 8-0 เหนือเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ พร้อมทั้ง 5 ประตูจากกัปตันทีมอลัน เชียเรอร์ ในช่วงที่ร็อบสันคุมทีม นิวคาสเซิลได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยอาศัยนักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ผู้เล่นอย่างคีรอน ดายเออร์, เครก เบลลามี และโลรองต์ โรแบร์ ทำให้นิวคาสเซิลกลับมาเป็นทีมระัดับหัวแถวของพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ฟุตบอลเกมรุกอันน่าตื่นเต้นของพวกเขาทำให้นิวคา่สเซิลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2001-02 จนได้กลับเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก และได้่เข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของถ้วยเอฟเอ คัพและลีกคัพ
ในฤดูกาล 2002-03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างบาร์เซโลนาและอินเตอร์ มิลาน ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีกนั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3
ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกหลังพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับพาร์ทิซาน เบลเกรด จนต้องตกลงไปเล่นในถ้วยยูฟ่า คัพแทน นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศถ้วยยูฟ่า คัพ
[แก้] สถานการณ์ล่าสุด
ร็อบสันถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2004 หลังจากคุมนิวคาสเซิลมานานถึง 5 ปี โดยบอร์ดบริหารชี้แจงเหตุผลว่าเป็นเพราะมีปัญหากับผู้เล่น แกรม ซูเนสส์ถูกเลือกให้มารับช่วงต่อในอีกสองสัปดาห์ถัดมา
ถึงแม้จะเริ่มต้นได้ดี ผลงานของทีมภายใต้ซูเนสส์ก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว นิวคาสเซิลจมอยู่้ในครึ่งล่างของตารางพรีเมียร์ลีกปี 2004-05 จนถึงเดือนธันวาคม ก่อนจะจบฤดูกาลที่อันดับ 14 ซึ่งเป็นผลงา่นที่เลวร้ายที่สุดของนิวคาสเซิลในการเล่นฟุตบอลพรีเมียร์ลีก
ในเดือนสิงหาคม ปี 2005 นิวคาสเซิลได้เซ็นสัญญาคว้าตัวไมเคิล โอเวน ดาวซัลโวทีมชาติอังกฤษจากรีล มาดริดมาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 17 ล้านปอนด์ แต่เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บต่อเนื่อง ทำให้โอเวนได้ลงสนามเพียง 10 เกมเท่านั้นในช่วง 6 เดือนแรกกับต้นสังกัดใหม่
ฟอร์มของนิวคาสเซิลยังคงไม่กระเตื้อง เป็นผลให้ซูเนสส์ถูกปลดในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2006 หลังพ่ายต่อแมนเชสเตอร์ ซิตีไป 0-3 และทำให้เกล็น โรเดอร์ อดีตผู้จัดการทีมของเวสท์ แฮม ยูไนเต็ดซึ่งในขณะนั้นทำงานเป็นผู้บริหารทีมเยาวชนของนิวคา่สเซิลอยู่ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว นอกจากนี้อลัน เชียเรอร์ยังได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของโรเดอร์อีกด้วย
ในเกมแรกที่โรเดอร์คุมทีม เชียเรอร์สามารถพังประตูืที่ 201 ของเขากับนิวคาสเซิลได้สำเร็จ ทำให้เขาได้รับการจารึกชื่อเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสรแทนที่แจ็คกี มิลเบิร์น เชียเรอร์ปิดฉากชีวิตการค้าแข้งด้วยการยิงประตูคู่ปรับเก่าซันเดอร์แลนด์เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2006 หยุดสถิติของเขาไว้ที่ 206 ประตู
ผลงานของโรเดอร์เหนือกว่าที่สื่อมวลชนคาดหมายกันไว้มาก โดยเขาพานิวคาสเซิลขึ้นไปถึงอันดับ 7 ทำให้ทีมได้เข้าไปเล่นในยูฟ่า อินเตอร์โตโต คัพ ก่อนที่โรเดอร์จะได้รับการต่อสัญญาแบบถาวรเป็นเวลา 2 ปี ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาลปัจจุบัน นิวคาสเซิลสามารถคว้าตัวปีกซ้ายชาวไอร์แลนด์ เดเมียน ดัฟฟ์ จากเชลซี มาด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ และยังได้ตัวกองหน้าไนจีเรียน โอบาเฟมี มาร์ตินส์ จากอินเตอร์ มิลาน เข้ามาสวมเสื้อหมายเลข 9 ต่อจากอลัน เชียเรอร์
[แก้] ฤดูกาลปัจจุบัน (2006-07)
[แก้] ทีมชุดปัจจุบัน
|
|
อังกฤษ พรีเมียร์ลีก (ฤดูกาล 2006-07) | |
ชาร์ลตันแอทเลติก | เชฟฟิลด์ยูไนเต็ด | เชลซี | ทอตแนมฮ็อตสเปอร์ | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | แบล็กเบิร์นโรเวอร์ส | โบลตันวันเดอเรอร์ส | ปอร์ทสมัธ | ฟูแลม | มิดเดิลสโบรช์ | แมนเชสเตอร์ซิตี | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | เรดดิง | ลิเวอร์พูล | วัตฟอร์ด | วีแกนแอทเลติก | เวสต์แฮมยูไนเต็ด | อาร์เซนอล | เอฟเวอร์ตัน | แอสตันวิลลา |
สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด เป็นบทความเกี่ยวกับ กีฬา นักกีฬา หรือ ทีมกีฬา ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น ข้อมูลเกี่ยวกับ สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ หรือ ดูเพิ่มที่โครงการทุกอย่างเกี่ยวกับกีฬา |