มิดเดิลเอิร์ธ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นแก้ไขภาษาให้สละสลวย และแก้ตัวสะกดให้ถูกต้อง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย |
มิดเดิลเอิร์ธ (Middle-earth) หรือ มัชฌิมโลก เป็นศัพท์ทางประวัติศาสตร์ มันแปลตามเนื้อตวามของคำ ภาษาอังกฤษเก่า middangeard อันหมายถึงโลกแห่งความเป็นจริง คือ ดินแดนที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้ ในความหมายที่เป็นทางการน้อยกว่า คำว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" มักหมายถึงดินแดนที่่ตั้งเรื่องของ เจ อาร์ อาร์ โทลคีน
โทลคีนบอกว่ามิดเดิลเอิร์ธของเขานั้นคือโลกของเรา เพียงแต่เป็นช่วงเวลาในอดีต โดยปลาย ยุคที่สาม นั้นอยู่ที่ประมาณ 6,000 ปีก่อนยุคของโทลคีน[1] เขายังบรรยายเขตแดนที่ฮอบบิทอาศัยว่าอยู่ที่ "ตะวันตกเฉียงเหนือของโลกเก่า ทางตะวันออกของทะเลใหญ่",[2] ซึ่งอ้างอิงถึงอังกฤษและเขตตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปอย่างชัดเจน (ใน โลกยุคเก่า).
ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน ถูกแบ่งออกเป็นหลาย ๆ ยุค ฮอบบิท และเรื่องราวหลักของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับเหตุการณ์สู่ปลาย ยุคที่สาม และสรุปถึงความรุ่งโรจน์ของ ยุคที่สี่ ในขณะที่ The Silmarillion เกี่ยวข้องกับ ยุคที่หนึ่ง เป็นส่วนใหญ่
สารบัญ |
[แก้] แนวคิดแรกเริ่ม
ในตำนาน Germanic โบราณและ นอร์ส เอกภพถูกเชื่อว่าประกอบด้วย "โลก" กายภาพจำนวนเก้าโลกเชื่อมต่อกัน การจัดเรียงโลกเหล่านี้ไม่แน่นอน ตามมุมมองหนึ่ง โลกทั้งเจ็ดวางตัวบนทะเลที่รายล้อม ได้แก่ ดินแดนของเอลฟ์ (Alfheim) คนแคระ {Niðavellir) พระเจ้า (Asgard กับ Vanaheim) และยักษ์ (Jotunheim กับ Muspelheim) นักปราชญ์นอร์สคนอื่่นตั้งโลกทั้งเจ็ดนี้บนท้องฟ้า บนกิ่งก้านของ Yggdrasil "โลกต้นแอช" ในอีกกรณีหนึ่ง โลกของมนุษย์ (รู้จักในหลาย ๆ ชื่อ เช่นMidgard, Middenheim, และมิดเดิลเอิร์ธ) วางตัวอยู่ ณ ศูนย์กลางของเอกภพ ในขณะที่ Bifröst สะพานสายรุ้งนั้นเชื่อมจากมิดเดิลเอิร์ธไปยัง Asgard Hel ดินแดนแห่งความตายตั้งอยู่ใต้มิดเดิลเอิร์ธ ด้วยแนวคิดนี้ "โลก" คล้ายกับแผ่นดินแม่แห่งเผ่าพันธุ์มากกว่าโลกที่แยกจากกันในเชิงกายภาพ
[แก้] นิรุกติศาสตร์
คำว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" ไม่ได้ประดิษฐ์ขึ้นโดยโทลคีนแต่เป็นรูปภาษาอังกฤษยุคใหม่ของคำ อังกฤษยุคกลาง middel-erde ซึ่งพัฒนามาอีกทีจากคำ อังกฤษยุคเก่า middanġeard (เสียง "g" soft เช่น "yard"[3])[4].
Middangeard สืบทอดมาจากคำภาษา Germanic ในยุคก่อนหน้าและมี รากศัพท์ ในภาษาซึ่งสัมพันธ์กับภาษาอังกฤษยุคเก่า เช่น คำภาษา นอร์สยุคเก่าMiðgarðr จาก ตำนานนอร์ส ซึ่งถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษว่า Midgard
ในช่วง อังกฤษยุคเก่า middangeard ถูกเขียนเป็น middellærd, midden-erde หรือ middel-erde ความแตกต่างเล็กน้อยในการสะกดแต่ไม่เปลี่ยนความหมายทั่วไป ได้แทนที่เป็น middangeard ที่มีมีความหมายจริง ๆ ว่า "middle enclosure" แทนที่จะเป็น "middle-earth".[5] อย่างไรก็ตาม middangeard ยังคงแปลโดยทั่วไปว่าคือ "middle-earth"
แนวคิดของ middangeard ถูกพิจารณาโดยโทลคีนเหมือนกับการใช้โดยเฉพาะของคำ ภาษากรีก ว่า แม่แบบ:Polytonic - oikoumenē (จากที่เราได้คำว่า ecumenical) ในการใช้คำเช่นนี้ โทลคีนกล่าวว่า oikoumenē คือ "ที่พักอาศัยของมนุษย์"[6]; by this he means it is the physical world in which man lives out his life and destiny, as opposed to the unseen worlds, for example Heaven or Hell.
โทลคีนพบคำว่า middangeard ในส่วนหนึ่งของบทกวีภาษาอังกฤษยุคเก่าที่เขาศึกษาเมื่อ ค.ศ. 1914:
-
- éala éarendel engla beorhtast / ofer middangeard monnum sended.
- โอ เออาเรนเดล สว่างเหนือปวงเทวา / เหนือถิ่นหล้ามิดเดิ้ลเอิร์ธสู่มวลมนุษย์
ข้อความนี้มาจากส่วนที่สองของบทกวี Crist โดย Cynewulf ชื่อ เออาเรนเดล เป็นแรงบันดาลใจให้โทลคีนสร้างนักเดินเรือ เออาเรนดิล.[7] In Tolkien's stories of the First Age of his world, Eärendil set sail from the lands of Middle-earth to ask for aid from the angelic powers, the Valar. He was later raised by the Valar into the skies, and set to sail in his ship Vingilot as a star and bright beacon of hope for Men and Elves in Middle-earth.[8] Tolkien's earliest poem about Eärendil, from 1914, the same year he read the Crist poems, refers to "the mid-world's rim".[9]
อย่างไรก็ตาม คำว่ามิดเดิ้ลเอิร์ธไม่ได้ใช้ในงานเขียนชิ้นแรกสุดของโทลคีนเกี่ยวกับโลกที่เขาสร้างขึ้น งานเขียนจากต้นคริสตศักราชที่ 1920 และตีพิมพ์ต่อมาใน The Book of Lost Tales (1983-4) แม้กระทั่งใน The Hobbit (1937).[9] โทลคีนเริ่มใช้คำว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" ในส่วนต่อมาในปีคริสตศักราช 1930 แทนที่คำก่อนหน้าเช่น "Great Lands", "Outer Lands" และ "Hither Lands" ที่เขาเคยใช้บรรยายดินแดนในเรื่องของเขา[9] The term Middle-earth appears in the drafts of The Lord of the Rings, and the first published appearance of the word "Middle-earth" in Tolkien's works is in the Prologue to that work: "...Hobbits had, in fact, lived quietly in Middle-earth for many long years before other folk even became aware of them."[2]
คำว่ามิดเดิลเอิร์ธสามารถนำมาใช้กับทั้งหมดของการสร้างของโทลคีน ดังในชื่อหนังชือเช่น The Complete Guide to Middle-earth, The Road to Middle-earth, The Atlas of Middle-earthและโดยเฉพาะในหนังสือชุด The History of Middle-earth ทั้งหมดนี้ครอบคลุมพื้นที่นอกเหนือจากนิยามทางภูมิศาสตร์ทีี่จำกัดในคำว่า มิดเดิลเอิร์ธ อีกด้วย
คำว่า "Middle-earth" บางครั้งเขียนนำเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เป็น "Middle-Earth"[10] และบางครั้งก็ละเครื่องหมายยัติภังค์ซึ่งผิดไปเช่นกัน เช่น "Middle Earth", "Middle earth" และ "Middleearth"
[แก้] ภูมิศาสตร์
ในส่วนของบริบทโดยรวมใน legendarium ของเขา มิดเดิลเอิร์ธของโทลคีนเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่ง อาร์ดา ที่สร้างขึ้น ซึ่งตัวมันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างที่กว้างใหญ่กว่าที่เรียกว่า Eä
"มิดเดิลเอิร์ธ" ถูกใช้อย่างเจาะจงเพื่อบรรยายดินแดนทางตะวันออกของทะเลใหญ่ (เบเลเกียร์) จึงไม่รวม Aman แต่รวม ฮารัด และดินแดนแห่งความตายอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเรื่องของโทลคีน อย่างไรก็ตามโทลคีนไม่ได้ระบุภูมิศาสตร์สำหรับโลกที่เกี่ยวข้องกับ ตีพิมพ์เป้นแผ่นพับหรือภาพประกอบใน ฮอบบิท ลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน แนวคิดแรกเริ่มของแผนที่ที่ให้ไว้ใน The Silmarillion และ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ถูกรวมในหลายเล่ม รวมทั้ง "The First Silmarillion Map" ใน The Shaping of Middle-earth, "The First Map of the Lord of the Rings" ใน The Treason of Isengard, "The Second Map (West)" และ "The Second Map (East)" ใน The War of the Ring และ "The Second Map of Middle-earth west of the Blue Mountains" (รู้จักในชื่อ "The Second Silmarillion Map") ใน The War of the Jewels
ในเรื่องของเขา โทลคีนแปลชื่อ "Middle-earth" เป็น Endor (หรือบางครั้งเป็น Endórë) และ Ennor ใน ภาษาพราย เควนยา และ ซินดาริน ตามลำดับ Endor เดิมเข้าใจว่าทำให้เหมือนกับแผนที่สมมาตรอย่างยิ่ง ซึ่งถูกทำลายโดยเมลคอร์ ความสมมาตรนิยามโดยทวีปย่อยขนาดใหญ่สองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ทางเหนือและอีกส่วนหนึ่งอยู่ทางใต้ ซึ่งแต่ละอันต่างมีเทือกขายาวสองเทือกในเขตตะวันออกและตะวันตก เทือกเขาเหล่านั้นตั้งชื่อตามสี (White Mountains, Blue Mountains, Grey Mountains, และ Red Mountains)
ความขัดแย้งเนื่องจากเมลคอร์ทำให้รูปร่างของแผ่นดินบิดเบี้ยวไป แต่เดิมนั้นมีผืนน้ำในแผ่นดินอันเดียว ณ ตรงกลางของสิ่งที่ถูกตั้งเป็นเกาะแห่ง อัลมาเรน อันเป็นที่ที่วาลาร์อาศัยอยู่ เมื่อเมลคอร์ทำลายตะเกียงของวาลาร์ซึ่งให้แสงสว่างแก่โลก ทะเลขนาดใหญ่สองแห่งก็เกิดขึ้น แต่อัลมาเรนและทะะลสาบของมันถูกทำลาย ทะเลทางเหนือกลายเป็น ทะเลแห่งเฮลคาร์ (เฮลคาร์) ดินแดนทางตะวันตกของ Blue Mountains กลายเป็น Beleriand เมลคอร์ยังสร้าง Misty Mountains ขึ้นมาเพื่อกีดขวางงานของวาลาร์ Oromë เมื่อเขาพยายามล่าสัตว์ร้ายของเมลคอร์ในช่วงยุคแห่งความมืดก่อนการตื่นของ พราย
การต่อสู้อันทารุณในช่วง War of Wrath ระหว่างพันธมิตรแห่งวาลาร์กับกองทัพของเมลคอร์ ณ ปลายยุคแรกนำมาซึ่งการล่มสลายของ Beleriand เป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานั้น ทะเลในแผ่นดินแห่งเฮลคาร์ได้เหือดแห้งไป
โลกส่วนที่ไม่รวมเทหวัตถุที่เกี่ยวข้อง ถูกเรียกโดยโทลคีนว่า "อัมบาร์" ในหลายเล่ม แต่ก็ถูกเรียกเป็น "Imbar" คือที่อยู่อาศัย ในหนังสือยุคหลัง Lord of the Rings จากช่วงเวลาที่ตะเกียงทั้งสองถูกทำลายจนกระทั่งเวลาการตกต่ำของนูเมนอร์ Ambar ถือว่าเป็น "โลกแบนราบ" ที่ดินแดนอยู่อาศัยทั้งหลายวางตัวบนด้านเดียวกันของโลก ภาพสเกตซ์ของเขาแสดงพื้นเหมือนจานสำหรับโลกซึ่งเงยขึ้นไปยังดวงดาว ทวีปตะวันตก คือ อามัน อันเป็นบ้านของวาลาร์ (และ เอลดาร์) ดินแดนตรงกลาง คือ เอนดอร์ ถูกเรียกเป็น มิดเดิลเอิร์ธ และยังเป็นที่ตั้งของเรื่่องราวส่วนใหญ่ของโทลคีน ส่วนดินแดนทางตะวันออกไม่มีใครอาศัยอยู่
เมื่อเมลคอร์วางยาพิษต้นไม้แห่งวาลาร์ทั้งสองและข้ามจากอามันกลับมาสู่เอนดอร์ วาลาร์ได้สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งเป็นวัตถุที่แยกออกมา (จากอัมบาร์) แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาร์ดา (ขอบเขตของ บุตรแห่งอิลูวาทาร์) หลายปีหลังจากที่ตีพิมพ์ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าที่แยกออกมา "Athrabeth Finrod ah Andreth" (ซึ่งเล่าว่าเกิดขึ้นใน Beleriand ช่วง War of the Jewels) โทลคีนเปรียบอาร์ดาเป็นระบบสุริยะ เพราะอาร์ดาในจุดนี้ประกอบด้วยวัตถุบนท้องฟ้ามากกว่าหนึ่งดวง
ตามเนื้อความในทั้ง The Silmarillion และ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เมื่อ Ar-Pharazôn บุกรุกอามันเพื่อแย่งความเป็นอมตะจากวาลาร์ พวกเขาประกาศความคุ้มครองโลกและ อิลูวาทาร์ เข้าแทรก ทำลายนูเมนอร์ ย้ายอามัน "จากวงกลมของโลก" และเปลี่ยนรูปอัมบาร์เป็นโลกกลมแบบทุกวันนี้ Akallabêth กล่าวว่าชาวนูเมนอร์ผู้รอดจากการล่มสลายล่องเรือไปตะวันตกให้ไกลสุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหาบ้านในยุคโบราณของเขา แต่การเดินทางนั้นนำเขาไปรอบโลกและกลับมาที่จุดเริ่มต้น กล่าวคือ ก่อนจบยุคที่สอง การเปลี่ยนจาก "โลกแบน" เป็น "โลกกลม" ได้สมบูรณ์แล้ว
[แก้] ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของมิดเดิลเอิร์ธถูกแบ่งออกเป็นสี่ยุค รู้จักกันในนาม ไอนูลินดาเล ยุคแห่งชวาลา ยุคพฤกษา และ ยุคแห่งตะวัน
เทพเจ้าสูงสุดแห่งเอกภพของโทลคีนเรียกว่า เอรู อิลูวาทาร์ ในตอนแรก อิลูวาทาร์ได้สร้างจิตวิญญาณที่มีชื่อว่า ไอนูร์ และได้สอนวิญญาณเหล่านั้นให้สร้างบทเพลงขึ้น หลังจากที่ไอนูร์ช่ำชองในความสามารถของแต่ละตนแล้ว อิลูวาทาร์ได้สั่งให้พวกไอนูร์สร้างบทเพลงอันยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเพลงที่อิลูวาทาร์ประพันธ์ขึ้น ไอนูร์ที่มีพลังสูงสุดคือ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ หรือ "ศัตรูมืด" โดยพวกเอลฟ์) ได้ทำให้เพลงเสียกระบวน อิลูวาทาร์จึงแก้ไขโดยสร้างแนวเพลงที่ปรับปรุงให้ดีเหนือความเข้าใจของไอนูร์ ก้าวย่างแห่งบทเพลงของพวกเขาได้หว่านเมล็ดของประวัติศาสตร์แห่งเอกภพที่ยังไม่ได้สร้างและผู้ที่จะมาอยู่ ณ ที่นั้น
จากนั้นอิลูวาทาร์จึงหยุดเพลงและเปิดเผยความหมายของบทเพลงแก่ไอนูร์ผ่านการมองเห็น ด้วยทัศนะเหล่านั้น ไอนูร์หลายตนสัมผัสถึงแรงกระตุ้นที่บีบบังคับให้รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ โดยตรง อิลูวาทาร์จึงสร้าง Eä คือเอกภพและไอนูร์บางตนก็ลงไปในเอกภพเพื่อร่วมในประสบการณ์แห่งเอกภพ แต่เมื่อเข้าไปใน Eä เหล่าไอนูร์พบว่ามันไร้รูปร่างเพราะพวกเขาเข้าไปที่จุดเริ่มต้นของเวลา ไอนูร์จึงรับผิดชอบงานอันยิ่งใหญ่ในช่วง "ยุคแห่งดวงดาว" พวกเขาเตรียมสิ่งของต่างๆ เพื่อรับการมาถึงของเอล์ฟและมนุษย์ ไอนูร์พวกนี้มีชื่อเรียกว่า วาลาร์ ในจำนวนนี้ มานเว เป็นวาลาร์ผู้เป็นหัวหน้า แต่เมลคอร์เป็นผู้ทรงพลังที่สุด
อาร์ดาในตอนแรกเป็นโลกแบนๆ เหล่าวาลาร์สร้างแสงสว่างโดยการสร้างดวงตะเกียงขนาดใหญ่สองดวง แต่เมลคอร์ทำลายดวงตะเกียงทำให้โลกมืดมน วาลาร์จึงย้ายถิ่นไปอยู่ทางตะวันตกสุดของอาร์ดา พวกเขาสร้างทวิพฤกษาขึ้นใหม่เพื่อให้แสงสว่างแก่แผ่นดินใหม่ของตน วาลาร์ขังเมลคอร์ไว้ และป้องกันแผ่นดินเพื่อเตรียมการสำหรับการตื่นของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ แต่เมื่อเมลคอร์พ้นจากการจองจำ เขาก็ทำลายทวิพฤกา วาลาร์จึงได้นำผลที่ยังมีชีวิตสองผลสุดท้ายของต้นไม้ทั้งสองและใช้มันสร้างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ซึ่งยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาร์ดาแต่แยกตัวออกมาจากอัมบาร์ (โลก)
ก่อนจบ ยุคที่สอง เมื่อมนุษย์แห่ง นูเมนอร์ โดยการล่อลวงของเซารอน หัวหน้าข้ารับใช้ที่มีอำนาจสูงสุดของมอร์กอธ ได้กบฏต่อวาลาร์ อิลูวาทาร์ได้ทำลายนูเมนอร์ และแยก วาลินอร์ ออกจากส่วนที่เหลือของอาร์ดา และสร้างดินแดนใหม่ซึ่งทำให้โลกกลม มีเพียงเอนดอร์ที่ยังคงเป็นโลกเดิม ปัจจุบันเอนดอร์ก็คือยูเรเซีย
ยุคแห่งชวาลาเริ่มต้นไม่นานหลังจาก วาลาร์ เสร็จสิ้นงานในการวางรูปร่างอาร์ดา วาลาร์ไ้ด้สร้างตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก วาลาร์ อาวเล ได้สร้างหอคอยขนาดใหญ่ อันหนึ่งอยู่เหนือสุด อีกอันอยู่ใต้สุด และวาลาร์ได้อาศัยอยู่ตรงกลางบนเกาะแห่งอัลมาเรน การทำลายตะเกียงทั้งสองของเมลคอร์ถือเป็นจุดจบของยุคแห่งชวาลา
หลังจากนั้น ยาวันนา ได้สร้าง ทวิพฤกษา ชื่อว่า เทลเพริออน และ เลาเรลิน ในดินแดนแห่งอามัน ต้นไม้ทั้งสองส่องสว่างอามันและปล่อยให้ส่วนที่เหลือของอาร์ดาตกอยู่ในความมืด และ ณ จุดเริ่มต้นของยุคแรก เอล์ฟได้ตื่น ข้างทะเลสาบ คุยวิเอเนน ในทางตะวันออกของเอนดอร์ และวาลาร์ได้ไปพบพวกเขาในไม่ช้า เอล์ฟจำนวนมากถูกชักชวนให้เข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่ มุ่งสู่ตะวันตกไปยังอามัน แต่พวกเขามิได้เดินทางโดยสำเร็จถ้วนทุกคน(ดู การแบ่งประเภทของเอล์ฟ) วาลาร์ได้จองจำเมลคอร์และเขาทำทีว่าสำนึกผิดและหลุดจากการจองจำ เมลคอร์หว่านความขัดแย้งในหมู่เอล์ฟและกระตุ้นให้เกิดการวิวาทระหว่างเจ้าชายเอล์ฟ เฟอานอร์ กับ ฟิงโกลฟิน จากนั้นเมลคอร์ได้สังหารบิดาของพวกเขาคือ กษัตริย์ ฟินเว และขโมย ซิลมาริล อัญมณีสามดวงที่เฟอานอร์สร้าง อันบรรจุแสงแห่งพฤกษาทั้งสอง ไปจากคลังสมบัติของเขา รวมทั้งทำลายทวิพฤกษาด้วย
เฟอานอร์ได้ชักจูงประชาชนของเขา คือชาว โนลดอร์ เพื่อออกจากอามันและไล่ตามเมลคอร์ไปยังเบเลริอันด์ รวมทั้งสาปแช่งเขาด้วยนามว่า มอร์กอธ เฟอานอร์เป็นผู้นำโนลดอร์กลุ่มแรกจากจำนวนสองกลุ่ม กลุ่มที่ใหญ่กว่านำโดยฟิงโกลฟิน เหล่าโนลดอร์หยุดที่เมืองท่าของ เทเลริ นามว่า อัลควาลอนเด แต่ชาวเทเลริไม่ยอมให้เรือแก่พวกเขาเพื่ือไปยังมิดเดิลเอิร์ธ สงครามสังหารญาติ ครั้งแรกจึงเกิดขึ้น เฟอานอร์และผู้ติดตามจำนวนมากได้โจมตีชาวเทเลริและขโมยเรือของพวกเขา กองทัพของเฟอานอร์ได้ล่องไปกับเรือที่ขโมยมา ปล่อยให้กองทัพของฟิงโกลฟินข้ามไปมิดเดิลเอิร์ธผ่านแดนมฤตยู เฮลคารัคเซ (หรือทุ่งน้ำแข็งหฤโหด) ซึ่งอยู่ทางเหนือไกลออกไป ต่อมาเฟอานอร์ถูกสังหาร แต่บุตรชายส่วนใหญ่ของเขารอดตายและก่อตั้งอาณาจักรของตนขึ้น เช่นเดียวกับฟิงโกลฟินและทายาทของเขา
ยุคแห่งตะวันเริ่มต้นเมื่อวาลาร์ได้สร้างดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนืือโลก คือ อิมบาร์ หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่หลายครั้ง จึงเกิด ยุคแห่งสันติสุขอันยาวนาน เป็นเวลาสี่ร้อยปี มนุษย์กลุ่มแรกได้มาถึงแผ่นดินเบเลริอันด์ในช่วงยุคนั้น โดยข้าม เทือกเขาสีน้ำเงิน มา เมื่อมอร์กอธเอาชนะ วงล้อมแห่งอังก์บันด์ ได้ อาณาจักรของเอล์ฟก็ล่มสลายไปทีละอาณาจักร แม้กระทั่งเมืองเร้นลับแห่ง กอนโดลิน ความสำเร็จที่สำคัญโดยเอล์ฟและมนุษย์มาถึงเพียงครั้งเดียวเมื่อเบเรนชาวเอไดน์ และลูธิเอน ธิดาของ ธิงโกล และ เมลิอัน ชิงซิลมาริลดวงหนึ่งมาจากมงกุฏของมอร์กอธได้ เบเรนและลูธิเอนตายหลังเหตุการณ์นั้น แต่ได้รับการชุบชีวิตจากวาลาร์ด้วยข้อตกลงว่า ลูธิเอนจะสูญสิ้นความเป็นอมตะ และเบเรนจะต้องไม่พบกับมนุษย์อีก
ธิงโกลทะเลาะกับคนแคระแห่ง Nogrod และพวกเขาได้ฆ่าธิงโกลรวมทั้งขโมยซิลมาริลไป ด้วยความช่วยเหลือของเอนท์ เบเรนได้จัดการกับคนแคระและชิงซิลมาริลมาได้ซึ่งเขาให้กับลูธิเอน ไม่ช้าหลังจากนั้น ทั้งเบเรนและลูธิเอนก็ตายไป ส่วนซิลมาริลนั้นถูกส่งต่อให้ลูกชายของพวกเขา คือ Dior เอล์ฟกึ่งมนุษย์ ผู้กอบกู้อาณาจักรแห่ง โดริอัธ เหล่าลูกชายของเฟอานอร์สั่งว่า Dior ต้องมอบซิลมาริลแก่พวกเขาและเขากลับปฏิเสธ ชาวเฟอานอร์จึงทำลายโดริอัธ และฆ่า Dior ในสงครามสังหารญาติครั้งที่สอง แต่ลูกสาวของ Dior ที่ยังเล็กคือ เอลวิง ได้หนีไปพร้อมกับดวงมณี ลูกชายสามคนของเฟอานอร์ คือ Celegorm, Curufin และ Caranthir ตายขณะที่พยายามนำอัญมณีคืนมา
ในตอนท้ายของยุคนี้ พวกเอล์ฟและมนุษย์อิสรชนที่เหลือในเบเลริอันด์ได้ตั้งหลักปักฐาน ณ ปากแม่น้ำซิริออน ในกลุ่มนั้นมีเออาเรนดิลซึ่งแต่งงานกับ เอลวิง รวมอยู่ด้วย แต่ชาวเฟอานอร์สั่งอีกเช่นเดิมว่าซิลมาริลต้องกลับมาเป็นของพวกเขา และหลังจากที่คำสั่งของพวกเขาถูกละเลย ชาวเฟอานอร์จึงแก้ปัญหาโดยใช้กำลัง นำไปสู่การสังหารญาติครั้งที่สาม เออาเรนดิลและเอลวิงนำซิลมาริลข้าม ทะเลใหญ่ เพื่ออ้อนวอนวาลาร์เพื่อขอขมาและขอความช่วยเหลือ วาลาร์จึงตอบรับ เมลคอร์ถูกจับ งานของเขาส่วนใหญ่ถูกทำลาย และเมลคอร์ถูกเนรเทศออกนอกขอบเขตโลกไปสู่ ประตูแห่งราตรี
ซิลมาริลถูกยึดคืนมาได้ โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส เมื่อแผ่นดินเบเลริอันด์แตกเป็นเสี่ยงๆ และเริ่มจมลงสู่ทะเล ลูกชายที่เหลืออยู่ของเฟอานอร์ Maedhros และ Maglor ถูกสั่งให้กลับสู่ วาลินอร์ พวกเขาลงมือขโมยซิลมาริลจาก วาลาร์ ผู้มีชัย แต่ซิลมาริลแผดเผามือของพวกเขาเช่นเดียวกับที่มันทำกับเมลคอร์ พวกเขาจึงตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้ และคำสาบานก็สูญเปล่า พี่น้องแต่ละคนจึงทำตามโชคชะตาของตน Maedhros โจนตัวเองลงไปในหุบเหวแห่งไฟพร้อมกับซิลมาริลดวงหนึ่ง ส่วน Maglor ขว้างซิลมาริลของเขาลงในทะล ดังนั้นซิลมาริลทั้งสามจึงไปสู่จุดหมายบนท้องฟ้าโดยเออาเรนดิล ในพื้นพิภพ และในทะเลตามลำดับ
แล้วจึงเริ่มต้น ยุคที่สอง ชาวเอไดน์ได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ ทางตะวันตกของทะเลใหญ่เป็นบ้านของพวกเขา ในขณะนั้นที่เอล์ฟจำนวนมากได้รับการต้อนรับกลับสู่แดนประจิม ชาวนูเมนอร์กลายเป็นยอดนักเดินเรือ แต่ก็อิจฉาเหล่าเอล์ฟในความเป็นอมตะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากหลายศตวรรษผ่านไป เซารอน หัวหน้าข้ารับใช้ของมอร์กอธได้เริ่มเพาะพันธุ์สัตว์ปีศาจในดินแดนทางตะวันออก เขาได้ชักจูงในเอล์ฟช่างใน เอเรกิออน มาสร้าง แหวนแห่งอำนาจ และเริ่มหลอม แหวนเอกธำมรงค์ อย่างลับ ๆ เพื่อควบคุมแหวนวงอื่น ๆ แต่พวกเอล์ฟล่วงรู้แผนของเซารอนเมื่อเขาสวมแหวนเอก พวกเอล์ฟจึงเอาแหวนของพวกตนออกไปก่อนที่เซารอนจะสามารถควบคุมพวกเขาได้
กษัตริย์ชาวนูเมนอร์องค์สุดท้ายคือ Ar-Pharazôn มีกองทัพที่แข็งแกร่งมากจนแม้เซารอนยังต้องยอมสยบ ถูกจับมายังนูเมนอร์ในฐานะเชลย แต่ด้วยความช่วยเหลือของแหวนเอก เซารอนล่อลวง Ar-Pharazôn และโน้มน้าวให้กษัตริย์โจมตีอามัน โดยเชื่อว่าความเป็นอมตะจะมีแก่ทุกคนผู้เหยียบย่างไปบน Undying Lands อามันดิล หัวหน้าของเหล่าผู้ศรัทธาต่อวาลาร์ รำลึกถึงการเดินทางขออภัยโทษแทนมนุษยชาติของเออาเรนดิล จึงได้ล่องเรือไปเพื่อขอความเมตตาจากวาลาร์ แต่เพื่อปิดบังวัตถุประสงค์การเดินทางของตน เมื่อแรกเขาจึงล่องเรือไปทางตะวันออกแล้วจึงวกตะวันตก แต่ไม่มีข่าวมาจากเขาอีกเลย ลูกชายของเขา เอเลนดิล กับหลานชายของเขาคือ อิซิลดัวร์ และ อะนาริออน กันเหล่าผู้ศรัทธาออกจากสงครามที่กำลังมาถึง และลอยเรือเตรียมตัวหลบหนี เมื่อกองทัพของกษัตริย์ไปถึงอามัน วาลาร์ได้เชิญอิลูวาทาร์เข้าทรงจัดการเอง โลกจึงได้เปลี่ยนไป และอามันถูกย้ายออกจากอิมบาร์ นับแต่นั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถเห็นอามันได้อีก แต่เอล์ฟผู้เดินทางด้วยเรือศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะจะได้รับพรในการใช้ เส้นทางมุ่งตรง ซึ่งทอดจากทะเลของมิดเดิลเอิร์ธสู่ทะเลแห่งอามัน นูเมนอร์ถูกทำลายสิ้นรวมทั้งร่างของเซารอน แต่ดวงวิญญาณของเขารอดมาได้และกลับสู่มิดเดิลเอิร์ธ เอเลนดิลและบุตรชายหนีมายังเอนดอร์และตั้งอาณาจักรแห่ง กอนดอร์ และ อาร์นอร์ ต่อมาไม่นานเซารอนเรืองอำนาจขึ้นอีก แต่เอล์ฟร่วมมือกับมนุษย์ขึ้นเป็น กองทัพแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย และเอาชนะเขาในที่สุด อิซิลดัวร์ยึดแหวนเอกของเขามาได้ แต่ไม่ได้ทำลาย
ยุคที่สาม เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองและความตกต่ำของอาณาจักร์อาร์นอร์และกอนดอร์ ในสมัยของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เซารอนได้สร้างกำลังอันแข็งแกร่งขึ้น และได้ค้นหาแหวนเอก เขาพบว่าแหวนนั้นตกเป็นของฮอบบิทคนหนึ่ง จึงได้ส่ง ภูตแหวน เก้าตนเพื่อชิงแหวนคืนมา ผู้ถือแหวนคือ โฟรโด แบกกิ้นส์ ได้เดินทางไปยัง ริเวนเดลล์ ที่ซึ่งตัดสินว่าแหวนวงนั้นต้องถูกทำลายด้วยวิธีเดียวที่เป็นไปได้ คือ โยนมันลงไปในเปลวไฟแห่ง Mount Doom โฟรโดจึงเริ่มเดินทางเพื่อภารกิจดังกล่าวกับเพื่อนร่วมทางอีกแปดคน เป็น พันธมิตรแห่งแหวน ในช่วงสุดท้ายเขาทำลายแหวนไม่สำเร็จ แต่ด้วยการขัดขวางของสัตว์ประหลาด กอลลัม ผู้ที่รอดตายด้วยความสงสารของโฟรโดและ บิลโบ แบกกินส์ แหวนจึงถูกทำลายในทีสุด โฟรโดกับเพื่อนของเขา แซม แกมจี ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ เซารอนถูกทำลายชั่วกัลป์และจิตวิญญาณของเขาก็สลายไป
จุดจบของยุคที่สามเป็นจุดจบของยุครุ่งโรจน์ของพวกเอล์ฟ และเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของมนุษย์ มนุษย์ เมื่อยุคที่สี่เริ่มต้น เอล์ฟจำนวนมากที่ยังอยู่ในมิดเดิลเอิร์ธได้จากไปสู่วาลินอร์และไม่หวนกลับ และพวกที่เหลือก็ "ร่วงโรย" และลดจำนวนลง พวกคนแคระก็ลดจำนวนลงไปในที่สุดเช่นเดียวกัน แต่พวกเขากลับมาอยู่ในมอเรียจำนวนมากและสร้างเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง สันติภาพกลับมาระหว่างกอนดอร์และดินแดนทางใต้และตะวันออก ในที่สุดเรื่องราวของยุคแรก ๆ ก็กลายเป็นตำนาน และความจริงเบื้องหลังตำนานเหล่านั้นก็ถูกลืมเลือนไป
[แก้] ภาษา
โทลคีนได้ประดิษฐ์ภาษาเอล์ฟขึ้นสองภาษาหลัก ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม เควนยา ใช้พูดกันโดยชาว วันยาร์ โนลดอร์ และ เทเลริ บางส่วน กับภาษา ซินดาริน ที่ใช้พูดกันในหมู่ชาวซินดาร์ คือเอล์ฟที่อาศัยในเบเลริอันด์ (ดูด้านล่าง) ภาษาทั้งสองมีรากมาจากแหล่งเดียวกัน คือจาก Common Eldarin อันเป็นภาษาโบราณที่ประดิษฐ์ไว้อย่างสมจริงที่สุด โทลคีนเปรียบเทียบเควนยาเหมือนภาษา ละติน ขณะที่ซินดารินเป็นเหมือนภาษาพูดทั่วไป
ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้ในโลก ได้แก่
- Adûnaic – ของชาวนูเมนอร์
- Black Speech – ประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดย เซารอน สำหรับทาสรับใช้ของเขาในการพูดคุย
- Khuzdûl – ของคนแคระ
- โรเฮียร์ริก – ของชาว โรเฮียร์ริม – ในลอร์ดออฟเดอะริงส์แปลมาโดยใช้ ภาษาอังกฤษเก่า
- เวสทรอน – 'ภาษากลาง' – แปลโดยใช้ ภาษาอังกฤษ
- วาลาริน – ภาษาของไอนูร์
[แก้] วัฒนธรรม
มิดเดิลเอิร์ธเป็นบ้านสำหรับสายพันธุ์ทีี่มีภูมิปัญญาต่าง ๆ กันหลายเผ่า เผ่าแรกคือไอนูร์ ซึ่งกำเนิดขึ้นจากมหาเทพอิลูวาทาร์ ไอนูร์ได้ร้องเพลงถวายอิลูวาทาร์ ผู้สร้าง Eä เพื่อการมีอยู่ของบทเพลงในตำนานการสร้างเอกภพที่เรียกว่า ไอนูลินดาเล หรือ "บทเพลงแห่งไอนูร์" ไอนูร์บางตนได้เข้าสู่ Eä และพวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรียกว่า วาลาร์ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ) หัวหน้าของปีศาจร้ายใน Eä ก็เป็นหนึ่งในวาลาร์ในตอนแรก
ไอนูร์อื่นที่เข้ามาใน Eä เรียกว่า ไมอาร์ ในยุคแรกนั้น ไมอาที่ปรากฏชื่อมากที่สุดคือเมเลียน ชายาของกษัตริย์พราย ธิงโกล ในยุคที่สามระหว่าง สงครามแหวน ไมอาร์ห้าตนถูกสร้างร่างขึ้นและส่งไปยังเอนดอร์เพื่อช่วยเหลืออิสรชนล้มล้างเซารอน ไมอาร์เหล่านั้นคืออิสตารี (หรือ Wise Ones) (มนุษย์เรียกว่า พ่อมด) ได้แก่ แกนดัล์ฟ, ซารูมาน, ราดากัสต์, Alatar และ Pallando ยังมีไมอาร์ฝ่ายร้ายหรือฝ่ายมืด เรียกว่า Umaiar เช่น บัลร็อก และจอมมารคนที่สองคือ เซารอน
ต่อมาจึงมีบุตรแห่งอิลูวาทาร์ คือ เอล์ฟและมนุษย์ อันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่สร้างโดยอิลูวาทาร์เพียงผู้เดียว The Silmarillion ได้เล่าถึงวิธีที่เอล์ฟและมนุษย์ตื่นและกระจายตัวไปทั่วโลก คนแคระนั้นเล่าว่าลอบสร้างโดยวาลาชื่อว่าอาวเล เมื่ออิลูวาทาร์ทราบเรื่อง เขาก็เสนอว่าจะทำลายพวกคนแคระเสีย อิลูวาทาร์ได้ให้อภัยความผิดของอาวเลและรับเผ่าคนแคระเป็นบุตรบุญธรรม ส่วนกลุ่มมนุษย์สามกลุ่มที่เป็นพันธมิตรซึ่งกันและกันรวมทั้งกับเอล์ฟแห่งเบเลริอันด์ในยุคแรกเรียกว่าเอไดน์ Edain
เพื่อตอบแทนความภักดีและความทรมานจาก สงครามแห่ง Beleriand ผู้สืบสกุลแห่ง Edain จึงได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ เป็นบ้านของพวกเขา แต่ดังที่ได้อธิบายในส่วนของ ประวัติศาสตร์ของมิดเดิลเอิร์ธ แล้วนั้น นูเมนอร์ได้ถูกทำลายและชาวนูเมนอร์ส่วนที่เหลือได้สร้างอาณาจักรทางดินแดนตอนเหนือของเอนดอร์ พวกที่ยังคงเชื่อในวาลาร์ได้ตั้งอาณาจักรแห่งอาร์นอร์และกอนดอร์ พวกเขาเป็นที่รู้จักในนาม ดูเนไดน์ Dúnedain ในขณะที่ชาวนูเมนอร์ที่เหลือรอดอื่น ๆ ยังคงบูชาปีศาจแต่อยู่ไกลออกไปทางใต้ รู้จักในชื่อ ชาวนูเมนอร์ดำ
โทลคีนนับฮอบบิทว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แยกสาขาออกมาจากเผ่ามนุษย์ แม้ว่าจุดกำเนิดและประวัติศาสตร์โบราณของพวกเขาจะไม่ปรากฏ แต่โทลคีนถือว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ Vales of Anduin ในตอนต้นยุคที่สาม แต่หลังจากหลายพันปีฮอบบิทเริ่มอพยพข้ามเทือกเขามิสตี้เข้าสู่ เอเรียดอร์ ท้ายที่สุดฮอบบิทจำนวนมากอาศัยอยู่ที่ ไชร์
หลังจากที่พวกคนแคระได้รับชีวิตจริง ๆ จากอิลูวาทาร์แล้ว ผู้สร้างคนแคระคือ อาวเล ได้ทำให้พวกเขาหลับใหลในแถบภูเขาที่ถูกซ่อนไว้ อิลูวาทาร์ได้ปลุกพวกคนแคระหลังจากที่พวกเอล์ฟได้ตื่นขึ้นมาแล้ว คนแคระได้กระจายไปตามเอนดอร์ตอนเหนือและตั้งอาณาจักรทั้งสิ้นเจ็ดอาณาจักร สองอาณาจักร คือ Nogrod และ Belegost เป็นเพื่อนกับเอล์ฟแห่ง Beleriand ในการต้านมอร์กอธในยุคแรก อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนแคระคือ คาซัดดูม ต่อมารู้จักในชื่อ มอเรีย
เอ้นท์ ผู้พิทักษ์ต้นไม้ ถูกสร้างโดยอิลูวาทาร์เนื่องจากคำขอร้องของวาลานาม ยาวันนา เพื่อปกป้องต้นไม้จากการรื้อถอนของเอล์ฟ คนแคระและมนุษย์
ออร์ค และ โทรลล์ เป็นสัตว์ปีศาจซึ่งถูกเพาะพันธุ์โดยมอร์กอธ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นแต่แรก แต่เป็นการเลียนแบบบุตรของอิลูวาทาร์และเอนท์ เพราะมีเพียงอิลูวาทาร์เท่านั้นที่สามารถให้กำเนิดสิ่งต่าง ๆ ได้ ต้นกำเนิดของออร์คและโทรลล์นั้นไม่ชัดเจนนัก (โทลคีนพิจารณาความเป็นไปได้หลายอย่างและมักเปลี่ยนความคิดอยู่บ่อย ๆ) ดูเหมือนว่าที่น่าจะเป็นไปได้ที่่สุดคือว่าออร์คถูกเลี้ยงให้กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายมาจากเอล์ฟหรือมนุษย์หรือทั้งคู่ ต่อมาในยุคที่สาม พวกอุรุก หรือ อุรุก-ไฮ ได้ปรากฏขึ้น โดยเป็นเผ่าพันธุ์ของออร์คที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งโดยไม่เจ็บปวดเมื่อมีแสงอาทิตย์ในขณะที่ออร์คทั่วไปเป็น (บางคนถือว่าในปลายยุคที่สาม อุรุกจะเรียกว่าเป็น อุรุก-ไฮ เฉพาะพวกที่ทำงานให้ซารูมานเท่านั้น) ซารูมานผสมพันธุ์ออร์คและมนุษย์เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง "Men-orcs" และ "Orc-men" ต่อมาบางพวกเหล่านั้นเรียกว่า "half-orcs" หรือ "goblin-men" (ไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับว่าอุรุก-ไฮของซารูมานเป็นพวกเหล่านี้หรือไม่ หนังสือไม่ได้มีคำใบ้ของ "pod grown" ที่อุรุก-ไฮถูกพรรณาใน ภาพยนตร์ไตรภาค ของ ปีเตอร์ แจ็คสัน เมื่อไม่นานมานี้ - แม้ว่าแนวคิดของแจ็คสันจะได้รับแรงบันดาลใจจากการอ้างอิงของแกนดัล์ฟ ใน The Fellowship of the Ring, ว่า "ออร์คทั้งหลายต่างเคย spawned" [emph. added].) โทรลล์พบเห็นน้อยมาก (และไม่ค่อยบรรยายนักโดยโทลคีน) สิ่งมีชีวิตที่โง่ พูดจาหยาบคายและโหดร้าย ถ้าพวกมันสัมผัสแสงแดด มันจะกลายเป็นหิน ในเรื่อง The Hobbit โทรลล์สามตัวได้จับบิลโบและเพื่อนคนแคระของเขา รวมทั้งวางแผนจะกินพวกเขาด้วย
ดูเหมือนว่าสัตว์ ทรงปัญญา จะปรากฏในเรื่องด้วย ตัวอย่างเช่น โธรอนดอร์ นกอินทรี, Huan สุนัขไล่เนื้อขนาดใหญ่จาก วาลินอร์ และพวก วอร์ก นกอินทรีถูกสร้างขึ้นโดยอิลูวาทาร์คู่กับเอ้นท์ แต่จุดกำเนิดของสัตว์เหล่านี้โดยทั่วไปและธรรมชาติของพวกมันไม่ชัดเจนนัก บางตัวอาจเป็นไมอาร์ในรูปของสัตว์ หรือบางครั้งอาจเป็นแม้กระทั่งลูกหลานของไมอาร์หรือสัตว์ธรรมดาก็ได้ แมงมุมยักษ์เช่น ชีล็อบ สืบเชื้อสายมาจากแมงมุมธรรมดากับ อุงโกเลียนท์ ซึ่งน่าจะเป็นไอนูตนหนึ่ง
[แก้] หนังสือ
ฮอบบิท และ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ถูกแสดงเป็นเรื่องเล่าใหม่ของโทลคีนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่บรรยายใน หนังสือปกแดงแห่งเวสต์มาร์ช ซึ่งถูกเขียนโดยบิลโบ แบ้กกิ้นส์, โฟรโด แบ้กกิ้นส์ และฮอบบิทคนอื่น ๆ รวมทั้งแก้ไขและทำหมายเหตุประกอบโดยปราชญ์ชาวกอนดอร์คนหนึ่งหรือหลายคน โทลคีนได้เขียนขยายถึง ภาษาศาสตร์, เทววิทยา และ ประวัติศาสตร์ ของโลกซึ่งบรรยาย เรื่องเบื้องหลัง สำหรับเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ งานเขียนจำนวนมากเหล่านี้ถูกแก้ไขและตีพิมพ์หลังมรณกรรมของผู้แต่งโดยลูกชายของเขา คือ คริสโตเฟอร์
งานที่โดดเด่นในหมู่หนังสือพวกนั้นคือ The Silmarillion ซึ่งมีเรื่องราวการสร้างอย่างไบเบิลและคำอธิบาย จักรวาลวิทยา ที่รวมมิดเดิลเอิร์ธด้วย The Silmarillion เป็นแหล่งข้อมูลแรกเกี่ยวกับ วาลินอร์, นูเมนอร์, และดินแดนอื่น ๆ งานที่น่าสนใจอีกชื้นหนึ่งคือ Unfinished Tales และอีกหลายเล่มของ The History of Middle-earth ซึ่งรวมเรื่องราวที่ยังไม่สมบูรณ์และความเรียงเช่นเดียวกับเอกสารร่างเกี่ยวกับเทววิทยามิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน จากร่างแรกสุดจนไปถึงงานเขียนสุดท้ายในชีวิตของเขา
[แก้] งานเกี่ยวกับมิดเดิลเอิร์ธโดยโทลคึน
- ค.ศ. 1937 ฮอบบิท
- ฮอบบิท บิลโบ แบ้กกิ้นส์ได้ร่วมกับกลุ่มคนแคระ รวมทั้งพ่อมดแกนดัล์ฟ ในภารกิจทวงอาณาจักรคนแคระโบราณจาก มังกร สม๊อก
- ค.ศ. 1954 มหันตภัยแห่งแหวน (The Fellowship of the Ring) คือส่วนแรกของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์
- หลานชายทายาทของบิลโบ โฟรโด แบกกิ้นส์ ได้ออกเดินทางเพื่อภารกิจทำลาย แหวนเอกธำมรงค์ ไปจากมิดเดิลเอิร์ธ โดยร่วมกับ คณะพันธมิตรแห่งแหวน.
- ค.ศ. 1954 หอคอยคู่พิฆาต (The Two Towers) คือส่วนที่สองของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์
- คณะพันธมิตรได้แตกสลายโดย ขณะที่โฟรโดและผู้รับใช้ของเขา คือ แซม ได้ปฏิบัติภารกิจต่อนั้น อารากอร์น, กิมลี และ เลโกลัส ได้ต่อสู้เพื่อจะช่วยเหลือฮอบบิท เปเรกริน ตุ๊ก (ปิ๊บปิ้น) และ เมอเรียด็อค แบรนดี้บั๊ก (เมอร์รี่) จาก ออร์ค และรักษาอาณาจักร โรฮัน
- ค.ศ. 1955 กษัตริย์คืนบัลลังก์ (The Return of the King), คือส่วนที่สามของ ลอร์ดออฟเดอริงส์
- โฟรโดและแซมได้ไปถึง มอร์ดอร์ ในขณะที่อารากอร์นไปถึงกอนดอร์และทวงบัลลังก์ของเขา
- ค.ศ. 1962 The Adventures of Tom Bombadil และร้อยกรองจากหนังสือปกแดง
- บทกวีประเภทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยกับ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เท่านั้น
- ค.ศ. 1967 The Road Goes Ever On
- A song cycle โดยนักแต่งเพลง Donald Swann (ตีพิมพ์มานานแล้วแต่พิมพ์ซ้ำในปี ค.ศ. 2002)
โทลคีนเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1973 และอ่านเพิ่มเติมอื่น ๆ ถูกแก้ไขโดยคริสโตเฟอร์ โทลคีน มีเพียง The Silmarillion เท่านั้นที่ออกมาเป็นงานที่เสร็จแล้ว — ส่วนงานอื่น ๆ เป็นการรวบรวมบันทึกและฉบับร่าง
- ค.ศ. 1977 The Silmarillion
- ประวัติศาสตร์ของยุคเก่าก่อนลอร์ดออฟเดอะริงส์ รวมทั้งการล่มสลายของนูเมนอร์
- ค.ศ. 1980 Unfinished Tales ของนูเมนอร์และมิดเดิลเอิร์ธ
- เรื่องราวและความเรียงที่เกี่ยวข้องกับ Silmarillion และ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ แต่หลายอันยังไม่สมบูรณ์
- ชุดหนังสือ The History of Middle-earth:
- ค.ศ. 1983 The Book of Lost Tales 1
- ค.ศ. 1984 The Book of Lost Tales 2
- รวมฉบับแรกสุดของเทววิทยา ตั้งแต่ฉบับแรกเริ่มถึงสุดท้าย
- ค.ศ. 1985 The Lays of Beleriand
- บทกวียาวสองบท (the Lay of Leithian เกี่ยวกับ เบเรน และ ลูธิเอน และตำนานการผจญภัยของ Túrin)
- ค.ศ. 1986 The Shaping of Middle-earth
- Start of rewriting the mythology from the beginning
- ค.ศ. 1987 The Lost Road and Other Writings
- บทนำของนูเมนอร์ไปยังเทววิทยาและการดำเนินต่อของการเขียนใหม
- ค.ศ. 1988 The Return of the Shadow (The History of The Lord of the Rings เล่มแรก)
- ค.ศ. 1989 The Treason of Isengard (The History of The Lord of the Rings เล่มสอง)
- ค.ศ. 1990 The War of the Ring (The History of The Lord of the Rings เล่มสาม)
- ค.ศ. 1992 Sauron Defeated (The History of The Lord of the Rings เล่มสี่)
- การพัฒนาลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ Sauron Defeated รวมทั้งฉบับอื่น ๆ ของเรื่องเกี่ยวกับนูเมนอร์
- ค.ศ. 1993 Morgoth's Ring (The Later Silmarillion ส่วนแรก)
- ค.ศ. 1994 The War of the Jewels (The Later Silmarillion ส่วนสอง)
- ความพยายามหลัง ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ที่จะแก้ไขเทววทิยาเพื่อการตีพิมพ์ รวมทั้งส่วนที่เกิดความขัดแย้งคือ 'Myths Transformed' ซึ่งบันทึกความคิดของโทลคีนซึ่งเปลี่ยนไปถึงพื้นฐานตอนช่วงปีท้าย ๆ ของชีวิตเขา
- ค.ศ. 1996 The Peoples of Middle-earth
- แหล่งข้อมูลสำหรับภาคผนวกใน ลอร์ดออฟเดอะริงส์ และงานเขียนต่อมาซึ่งเกี่ยวข้องกับ The Silmarillion และ ลอร์ดออฟเดอะริงส์.
- ค.ศ. 2002 History of Middle-earth: Index
- หนังสือเล่มนี้ได้รวมดัชนีทั้งหมดจากสิบสองเล่มก่อนเป็นดัชนีใหญ่หนึ่งเล่ม
- ค.ศ. 1990 Bilbo's Last Song
- บทกวี
[แก้] แผนที่
โทลคีนได้เตรียมแผนที่ของมิดเดิลเอิร์ธและดินแดนของมิดเดิลเอิร์ธที่ซึ่งเรื่องของเขาดำเนินอยู่หลายแผนที่ บางอันถูกตีพิมพ์ในช่วงชีวิตของเขา แม้ว่าแผนที่แรก ๆ หลายอันไม่ได้ตีพิมพ์หลังจากที่เขาตายแล้ว แผนที่หลัก ๆ ถูกตีพิมพ์ใน ฮอบบิท, ลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ The Silmarillion แผนที่ของนูเมนอร์ถูกตีพิมพ์ใน Unfinished Tales
A redrawing of the map of Beleriand during the First Age. Original map published in The Silmarillion. |
A redrawing of the map of the north-western part of Middle-earth at the end of the Third Age. Original map published in The Lord of the Rings. |
[แก้] การประยุกต์
[แก้] ภาพยนตร์
ในจดหมายถึงลูกชายของเขา คือ คริสโตเฟอร์ โทลคีน เจ.อาร์.อาร์. โทลคีนได้เริ่มนโยบายการพิจารณาในการสร้างภาพยนตร์จากงานของเขา คือ : "ศิลปะหรือเงิน".[11] เขาได้ขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์สำหรับ ฮอบบิท และ 'ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ให้กับ United Artists เมื่อ ค.ศ. 1969 หลังจากที่เผชิญกับใบแจ้ง ภาษี ในทันที พวกมันตกอยู่ในมือของ Tolkien Enterprises ส่วน Tolkien Estate ได้ผูกขาดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ของ The Silmarillion และงานอื่น ๆ
การแปลงเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกคือ ฮอบบิท เมื่อ ค.ศ. 1977 สร้างโดย Rankin-Bass เมื่อ ค.ศ. 1980 Rankin-Bass ได้สร้างภาพยนตร์พิเศษทางทีวีครอบคลุมส่วนหลังของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เรียกว่า The Return of the King อย่างหยาบ ๆ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เป็นตามตอนจบของภาพยนตร์ของ Bakshi โดยตรง
แผนสำหรับภาคที่ใช้คนแสดงจริงของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ต้องรอจนกระทั่งปลายคริสตศักราชทศวรรษ 1990 จึงถูกตระหนักขึ้นในที่สุด ภาพยนตร์เหล่านั้นกำกับโดย ปีเตอร์ แจ็คสัน และสนับสนุนเงินโดย New Line Cinema กับการช่วยหนุนจากรัฐบาลและระบบธนาคารนิวซีแลนด์w
- The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring (ค.ศ. 2001)
- The Lord of the Rings: The Two Towers (ค.ศ. 2002)
- The Lord of the Rings: The Return of the King (ค.ศ. 2003)
ภาพยนตร์อยู่ใน box office เป็นเวลานานและได้รับความประสบความสำเร็จจากการวิพากษ์วิจารณ์ (ทั้งผู้อ่านและผู้ที่ไม่ได้อ่านหนังสือ) รวมทัั้งได้รับรางวัลออสการ์ รวมสิบเจ็ดรางวัล (อย่างน้อยในแต่ละประเภทสำหรับภาพยนตร์แบบ fictional, English language, live-action feature film ยกเว้นในประเภท acting) ภาพยนตร์ยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มผลกระทบของงานโทลคีนต่อ pop culture กระแสหลัก อย่างไรก็ตาม ในการแปลงหนังสือเป็นภาพยนตร์ การเปลี่ยนลำดับเรื่องและตัวละครของแจ็คสันและบริษัทได้ทำให้แฟนของหนังสือไม่พอใจ ถึงแม้ว่าหลายคนจะออกตัวมาปกป้องว่าเกิดจากความจำเป็นเฉพาะ
[แก้] เกม
งานของโทลคีนมีอิทธิพลหลักต่อ role-playing games เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ เช่น Robert E. Howard, Fritz Leiber, H. P. Lovecraft และ Michael Moorcock ถึงแม้ว่าเกมที่มีชื่อเสียงที่สุดจะได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนโดยสภาพแวดล้อมของ Dungeons & Dragons พวกมันยังคงเป็นสองเกมที่มีลิขสิทธิ์และสร้างตามมิดเดิลเอิร์ธ สองเกมนี้คือ Lord of the Rings Roleplaying Game จาก Decipher Inc. และ Middle-earth Role Playing game (MERP) จาก Iron Crown Enterprises Middle-earth play-by-mail game ดำเนินการครั้งแรกโดย Flying Buffalo และตอนนี้ผลิตโดย Middle-earth Games โดยเกมนี้ถูกดึงมาเป็นของ Academy of Adventure Gaming Arts & Design's Hall of Fame เมื่อ ค.ศ. 1997
Simulations Publications ได้สร้าง เกมวางแผนการรบ สามเกมตามงานของโทลคีน War of the Ring ครอบคลุมเหตุการณ์ส่วนใหญ่ใน ลอร์ดออฟเดอะริงส์ Gondor มุ่งไปที่ยุทธภูมิแห่งทุ่งเพเลนนอร์ ส่วน Sauron ครอบคลุมการรบในยุคที่สองก่อนประตูแห่งมอร์ดอร์ The Lord of the Rings Strategy Battle Game เกมการรบตามงานภาพยนตร์ของแจ็คสัน ได้วางตลาดอยู่ในขณะนี้โดย Games Workshop เกมกระดาษ ที่เรียกว่า War of the Ring เช่นกันก็วางตลาดในช่วงนี้เช่นกันโดย Fantasy Flight Games
เกมคอมพิวเตอร์ Angband เป็น free roguelike D&D-style game ที่แสดงตัวละครหลายตัวจากงานของโทลคีน รายชื่อของเกมคอมพิวเตอร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากโทลคีนสามารถดูได้ที่ http://www.lysator.liu.se/tolkien-games/
EA Games ได้สร้างเกมตามภาพยนตร์ของแจ็คสันสำหรับเกมคอนโซลและพีซี เกมเหล่านี้ได้แก่ platformers The Two Towers, The Return of the King, the real-time strategy game The Battle for Middle-earth, และภาคที่ตามมา The Battle for Middle-earth II, และ the role-playing game The Third Age.
เกมที่สร้างตามหนังสือ (ลิขสิทธิ์ทางการจาก Tolkien Enterprises) ได้แก่ Vivendi's own platformer, The Fellowship of the Ring, และ Sierra's own real-time strategy game, War of the Ring, ทั้งสองเกมที่ proved highly unsuccessful แม่แบบ:ME-fact, และหลายเกมสร้างตาม The Hobbit.
Turbine ยังสร้าง Middle-earth-based graphical massively multiplayer online roleplaying game (MMORPG) เกมแรก: Lord of the Rings Online: The Shadows of Angmar ซึ่งวางแผนจะลงตลาดในปี ค.ศ. 2006
ยังมีเกม MMORPG หลายเกมซึ่งสร้างตามหนังสือ (รู้จักในนาม MU*) วางแบบตามมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน เกมที่มีอายุมากที่สุดย้อนไปถึงสิบห้าปี (MUME - Multi Users in Middle-earth) สำหรับรายการของ MU*s ที่ได้แรงบันดาลใจจากโทลคีน (ค่อนข้างยาว) ให้ไปที่ The Mud Connector และดูคำค้นหา 'tolkien'
นอกจากเกมลิขสิทธิ์ที่เป็นทางการแล้ว mods และแผนที่ที่ได้แรงบันดาลใจจากโทลคีน ได้ถูกสร้างสำหรับหลาย ๆ เกมเช่น Warcraft III และ Rome: Total War ยังมีโครงการ "mod" สร้างตามมิดเดิลเอิร์ธที่ [1] สำหรับ TES IV: Oblivion
[แก้] มิดเดิลเอิร์ธในงานอื่น ๆ
มีการพาดพิงถึงแนวคิดที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกับมิดเดิลเอิร์ธในงานอื่น ๆ โดยโทลคีนและงานของนักเขียนคนอื่น ตัวอย่างที่เก่าที่สุดคือ Space Trilogy ของ C. S. Lewis ซึ่งมีโลกที่เรียกว่ามิดเดิลเอิร์ธเช่นกัน นิยายของ Lewis ซึ่งฉากอยู่ที่ประมาณช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (กับนิยายเรื่องสุดท้าย That Hideous Strength ซึ่งมีฉากอยู่ในอังกฤษหลังสงคราม) มีการอ้างอิงเป็นพิเศษกับตำนานของโทลคีน (ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ตีพิมพ์มากนัก) และปฏิบัติต่อการอ้างอิงเหล่านี้เป็นข้อมูลปฐมภูมิในนิยายของ Lewis เมอร์ลิน แห่ง กษัตริย์อาเธอร์ ถูกทำเป็นผู้สืบทอดเวทมนตร์ แอตแลนทิส ที่พบใน "Numinor" (เป็นคำที่สะกดผิดของนูเมนอร (Númenor) ของ Lewis) และ Lewis ได้อ้างอิงอย่างชัดเจนว่าโลกเป็นมิดเดิลเอิร์ธถึงสองครั้งในบทที่ 14 "They Have Pulled Down Deep Heaven on Their Head"
Lewis และโทลคีนเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนทางวรรณกรรมที่กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ The Inklings งานบางชิ้นของโทลคีนรวมทั้ง ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ถูกอ่านออกมาในกลุ่ม Inklings เมื่อมันถูกเขียนขึ้นซึ่งทำให้ Lewis ยืมชื่อเหล่านั้นไป เรื่อง time travel ที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์และยังไม่เสร็จของโทลคีน คือ (The Lost Road และ The Notion Club Papers) อันมีฉากในอังกฤษ ยังเชื่อมโลกของเขากับมิดเดิลเอิร์ธและ นูเมนอร์ อีกด้วย