ตำนานพระเจ้าพรหมกุมาร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บทความนี้เข้าข่ายว่าอาจละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเนื้อหาอาจคัดลอกมาจากแหล่งข้อมูลอื่น โปรดช่วยกันตรวจสอบลิขสิทธิ์ หากคุณเป็นผู้เขียน ให้ศึกษาวิธีเขียนอย่างไรไม่ให้ละเมิดลิขสิทธิ์ หากคุณรู้ว่าบทความนี้คัดลอกจากแหล่งใดแหล่งหนึ่ง ให้ใส่ป้ายละเมิดลิขสิทธิ์แทนที่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายวิกิพีเดีย ลิขสิทธิ์ และปัญหาลิขสิทธิ์ |
ข้อมูลนี้จากหน ังสือ มรดกของพ่อ จัดทำโดยคณะคุณมิตรดา เลิศสุมิตรกุล
ในสมัยโยนกนคร พระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์พระองค์เสวยราชสมบัติตั้งแต่อายุ 18 ปี พออายุ ได้ 20 ปี ขอมดำยกทัพมา พระเจ้าพังคราช ได้เตรียมทัพออกรบ เพื่อประวิงเวลาในการให้ เด็ก สตรี และ คนชรา หลบหนี พร้อมทั้งเตรียมขนย้ายทรัพย์สมบัติไปซ่อนไว้ แถวดอยตุงบ้าง แม่ส ายบ้าง การรบครั้งแรก ก็ได้ ปะทะกับทัพหน้า ของขอมดำ พระเจ้าพังคราชก็มีชัยชนะ แต่พอทัพหลวงทัพซ้ายทัพขวาของขอมดำมา ถึงซึ่งกำลังพลมากกว่าเรากว่า 4 เท่า ในที่สุดพระเจ้าพังคราช ก็ยอมแพ้ เมื่อเห็นว่า ผู้คนที่ให้หลบหนีไป ปลอดภัยแล้ว
เจ้าขอมดำเมื่อมีชัยชนะ ได้จับพระเจ้าพังคราช ไปพิจารณาโทษ แต่มีอำมาตย์ของขอมดำชื่อ พันจาม เป็นแม่ทัพคนสำคัญ ได้กราบทูลเจ้าขอมดำว่า "พระเจ้าพังคราชไม่มีความผิด เพราะ ไม่ได้ยกทัพตีเรา แต่เรายกทัพมาตีเขา ถ้าจะฆ่าพระเจ้าพังคราช ก็ผิดความมุ่งหมายไปมาก เพราะ เราต้องการพื้นที่ควร จะส่งพระเจ้าพังคราชไปอยู่ที่ วังสีทอง อยู่ทางแม่สาย ให้เนื้อที่อยู่อาศัย ประมาณแสนไร่ และให้ส่งส่วย เป็นทองคำปีละ 20 ชั่ง"
เมื่อพระเจ้าพังคราช และประชาชนคนไทยถูกต้อนไปอยู่ยังวังสีทอง ความเจ็บปวดแสนสาหัส ความทุกข์ ทรมานที่ถูกขอมดำย่ำยี อย่างโหดร้าย ลูกใคร เมียใคร ที่มันต้องการ มันจะบังคับเอาตามอำเภอใจของ มัน หรือจะฆ่าจะทำร้ายใครก็ทำได้ เพราะ เป็นนโยบายของเจ้าขอมดำที่จะกำจัดคนไทยให้หมดภูมิภาคนี้
เวลาผ่านไป พระมเหสีของพระเจ้าพังราช ทรงพระครรภ์ และคลอดพระราชโอรส ให้นามว่า ทุกภิกข แปลว่า เกิดมาในท่ามกลางความทุกข์ เพราะ คนไทยในขณะนั้น ต้องอยู่อย่างอดทน ต่างก็ช่วยกันทำมา หากินพร้อมกับออกไปร่อนทอง เพื่อเป็นส่วนส่งให้ขอมดำ แม้แต่พระเจ้าพังคราชก็เสด็จไปร่อนทองด้วย
คนไทยซึ่งมีความเคารพใน พระพุทธศาสนา มากมีความเมตตาเป็นปกติ แต่ต้องมาทนทุกข์ทรมานมี ความอดยากลำบากยิ่ง ทั้งยังถูกขอมดำกดขี่ขมเหง แต่คนไทยยัง มีการไหว้พระ มีการภาวนา และ เจริญพระกรรมฐานเป็นปกติ ท้าวโกสีสักเทวราช คือ พระอินทร์ ทราบว่า กรรมเก่าของพระเจ้าพังค ราช และราษฎรคนไทยได้สลายตัวแล้ว จึงแปลงกายเป็นเด็กอายุประมาณ 12 ปี เดินมาจากป่าตรงไปหา พระเจ้าพังคราช ทีแรกบรรดาประชาชนก็กันไว้ แต่พระเจ้าพังคราชบอกว่าอย่ากัน "จะเป็นใครมาจาก ไหนก็ตามเราถือว่า เป็นคนเหมือนกัน เราจะต้องอยู่ร่วมกันได้" แล้วเด็กคนนั้นก็เข้าไปหาพระ เจ้าพังคราชแนะนำวิธีทำทอง โดยบอกส่วนผสม ที่ใช้ในการหลอมทำทอง คือ แร่เพรียงไฟ ดีบุก แร่ทอง แดง สารปากนกแก้ว และสารอีกชนิดหนึ่ง (ขอปิดไว้) พร้อมบอก สถานที่มีสารแร่เหล่านี้ และทำให้ดูเป็น ตัวอย่าง จะได้ทองคำ 100%
หลังจากนั้นพระเจ้าพังคราช และราษฎรคนไทยก็มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
ผ่านไป 3 ปี ในขณะนั้น "ท้าวผกาพรหม" ได้ไปเรียก "สัพเกศีพรหม" บอกว่า ขณะนี้คนไทยลำบากอยู่ ท่านจะมาเสวยสุข อยู่เฉพาะผู้เดียว โดยไม่เหลียวแลคนไทยที่อยู่ข้างหลังไม่เป็นการสมควร ท่านควรจะ ลงไปเกิดเป็นลูกชายพระเจ้าพังคราช แล้วช่วยกู้ชาติไทย ให้ปลอดภัยจากความเป็นทาส
หลังจากนั้น ท้าวผกาพรหมก็ประกาศว่า มีพรหมองค์ใดที่นับถือ พระพุทธศาสนา เคยเกิดเป็นคนไทยมา ก่อนจะลงไปช่วยคนไทย ก็มีพรหมอีก 250 องค์ลงไปเกิดพร้อมๆกันเป็นสหชาติ และมีพรหมอีก 3 องค์ บอกว่าจะมาช่วยไปเกิดเป็นช้างคู่บารมี ต่อมา สัพเกศีพรหม พร้อมด้วยพรหมอีก 250 องค์ ก็ได้มาเกิด พร้อมกันทุกองค์ ต่างมีรูปร่างผิวพรรณ สวยงามมาก เพราะต่างก็มาจากพรหม โอรสพระเจ้าพังคราชมีนามว่า "พรหมกุมาร" หลังจากพรหม กุมาร และ สหชาติทั้ง 250 ได้มาเกิด ความอุดมสมบูรณ์ ก็ปรากฏแก่ประชาชนชาวไทย และ พวกขอม ดำก็ลดตัวในการข่มเหงคนไทยลง เพราะคนไทยเกิดความแข็งแกร่งในจิต ในวัยเด็กพรหมกุมาร และสหชาติได้เป็นเพื่อเล่นกัน ที่โปรดปรานมาก คือ การเล่นสงครามการฝึกอาวุธ สร้างอาวุธ ขี่ม้า เป็นต้น
เมื่อพรหมกุมารอายุได้ 12 ปี คืนหนึ่งได้ฝันว่า วันรุ่งขึ้น ให้ไปที่แม่น้ำโขงจะมีช้าง 3 เชือก ถ้าจับช้าง เชือกที่หนึ่งได้ จะได้เป็นจ้าวโลก ถ้าจับช้างเชือกที่สองได้ จะปราบชมพูทวีปได้หมด ถ้า จับช้างเชือกที่สามได้จะปราบขอมได้หมด
พอตื่นเช้าขึ้นมา พรหมกุมารก็กราบทูลให้พระราชบิดาทราบ พระบิดาจึงอนุญาตให้ไปดักช้างได้ ในตอน สายของวันนั้น พรหมกุมารและสหชาติ ได้ไปดักจับช้างตามที่ฝัน แทนที่จะเห็นช้างกลับ เป็นงูหงอนแดง ตัวใหญ่ขาวโพลน ก็ปล่อยไป ตัวที่สองก็เป็นงูหงอนแดงอีก และได้ปล่อยไปอีกรออยู่พักหนึ่งพรหมกุมารจึงให้สหชาติช่วยกันจับพอโดดขึ้นจับคองูหงอนแดงก็กลายเป็นช้างเผือกขาวโพลนเดินทวนน้ำมาได้ทั้งๆ ที่น้ำไหลหลากมาก แต่ช้างไม่ยอมขึ้นฝั่ง พรหมกุมารจึงให้สหชาติไปกราบทูลพระราชบิดา ให้ทรงทราบ พระเจ้าพังคราชจึงให้โหรทำนายโหรได้ บอกว่า ต้องเอากระพังทองไปตีล่อจึงขึ้นมา
ในที่สุดพรหมกุมารก็ได้ช้างพลายประกายแก้ว มีความสวยงดงามมากมีสีขาวเป็นประกายคล้ายแก้วการ เลี้ยงดูก็ปล่อยเป็นอิสระ ช้างพลายประกายแก้วจะไปไหน จะเข้าป่า ก็ไม่มีสัตว์ตัวใดกล้า ทำร้าย ช้างป่าก็ เข้ามาเป็นบริวารมากมายโดยไม่ต้องไปต่อหรือไปดึงมา
เมื่อพรหมกุมารอายุได้ 16 ปี พระเจ้าพังคราชให้แต่งงานมีภรรยา ต่อมา พรหมกุมารกราบทูลพระราชบิ ดาว่า "ต่อไปนี้เราจะไม่เป็นผู้แพ้ ดินแดนของเราอยู่เพียงไหน เราจะยึดเอามาให้หมด แล้ว จะยึดพื้นที่อีกไม่น้อยกว่า 4 เท่า"
พรหมกุมารก็เริ่มสะสมอาวุธ ฝึกการรบ เตรียมไพร่พล เพื่อกู้เอกราช เมื่อเตรียมการเสร็จก็ได้งดส่งส่วย ให้ขอมดำ เมื่อขอมคำรู้ว่า คนไทยงดส่งส่วย แสดงว่า แข็งเมือง จึงยกทัพมาตี ฝ่ายไทยเตรียมพร้อมอยู่ แล้วจึงจัดทัพออกไปรบทันที
การรบแม้ไทยมีกำลังน้อยกว่าถึง 4 เท่าแต่การรบครั้งนี้ กำลังใจของคนไทยแข็งแกร่งมากเพราะการรบ ครั้ง นี้ รบเพื่อหวังประโยชน์สองอย่าง คือ 1.รบเพื่อหวังอิสรภาพ ไทยต้องเป็นไท 2.รบเพื่อขับไล่ขอมดำให้ออกไปนอกเขตไทย ในที่สุด พรหมกุมาร และสหชาติ ใช้กลยุทธต่าง ๆ ในการรบ จนสามารถขับไล่ขอมออกไปจากเขตแดน ไทยได้ แต่ในการไปตีเมืองขอม ภรรยาของพรหมกุมาร ซึ่งได้ออกรบด้วย ได้ถูกขอมฆ่าเสียชีวิต ทำให้ พรหมกุมารโกรธแค้นขอมมาก ได้ไล่ล่าฆ่าขอมเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน จึงหยุดพักทหารแล้วจึงเคลื่อนทัพ ไล่ฆ่าขอมต่อขึ้นชื่อว่าขอมจะต้องไม่มีชีวิตอยู่ ไล่ไปจนถึงเมืองกำแพงเพชร
พระอินทร์เห็นว่า ถ้าปล่อยให้ฆ่าต่อไป จะบาปมากเกินไป จึงให้ท่าน วิษณุกรรมเทพบุตร มาทำให้ทหาร หมดกำลัง และสร้างกำแพงแก้วกั้นทัพของพรหมกุมารไว้ ซึ่งพรหมกุมารเอง ก็คิดว่า การเก็บล้างขอมก็ ยากแล้วแค่นี้ก็พอ และเจ้าเมืองกำแพงเพชร ก็ไม่ต้องการจะทำศึกจึงได้ยกพระธิดา ให้สมรสกับ พรหม กุมาร
ในขณะที่ทำศึก พรหมกุมาร ก็ได้กราบทูลพระราชบิดา ขอเป็นกษัตรย์ชั่วคราว เพื่อสะดวกในการออกคำ สั่งเมื่อเสร็จศึก พรหมกุมารจึงได้เชิญพระราชบิดา ขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้พี่ชาย คือ เจ้าชายทุกภิกขเป็น อุปราช ส่วนพรหมกุมารอยู่รักษาเมืองกำแพงเพชรรวมทั้งหมดที่พระเจ้าพังคราชเป็นทาสขอมดำ 22 ปี
ต่อมาพระพุฒโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นไทยใหญ่ ท่านได้นำพระไตรปิฎก และพระบรมสารีริกธาตุมาถวายพระ เจ้าพังคราช พระองค์ได้ให้โอรสทั้งสององค์ ร่วมกันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บนดอยน้อย คือ พระธาตุ จอมกิตติ แล้วสร้างเจดีย์ โดยใช้แผ่นทองคำ หุ้มองค์เจดีย์ เวลาต่อมาพระเจ้า ผาเมือง ทรงสร้างเจดีย์ องค์ใหญ่ทับไว้อีกชั้น
สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ ท่านได้ชี้จุดบนดอยน้อย ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประทับ ณ ที่ นี้ทรงอธิษฐาน ให้เส้นพระเกศาของพระองค์ หลุดติดพระหัตถ์มา 3 เส้น เมื่อทรงเสยเกษา แล้วพระพุทธ องค์ทรงฝังเส้นพระเกศา โดยการอธิษฐานให้จมลงไปบนดอยน้อยนั้น แล้วทรงพยากรณ์ว่า "เขตแดนนี้ ต่อไปจะมีนามว่า โยนกนคร จะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถรักษา พระพุทธศาสนา ไว้ได้ครบ 5,000 ปี" พรหมกุมารก็ได้เสวยราชสมบัติต่อจากเจ้าชายทุกภิกข มีพระนามว่า พระเจ้าพรหมมหาราช ปกครอง โยนกนครสืบมา พระองค์ก็เจริญพระกรรมฐาน ทรงฌาณสมบัติ เมื่อทรงทิวงคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิม
การอยู่เป็นพรหม ของสัพเกศีพรหม ไม่ได้อยู่เป็นพรหมตลอดกาล ท่านลงมาเกิดบ่อนครั้ง เมื่อยามใดที่ คนไทยก็ดี ชาติไทยก็ดี มีความลำบากมีความเดือดร้อน หรือถูกย่ำยีจากศรัตรู ท่านจะต้องลงมาเกิดเพื่อ ช่วยเหลือคนไทย และชาติไทยเสมอ จนถึงปัจจุบัน ดังเช่นการมาเกิดของท่าน แต่ละวาระ เช่น สมัยพระเจ้ามังรายมหาราช เณรน้อยที่ถูกขอมยำยี พระเจ้าพรหมมหาราช (สมัยโยนกนคร) พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ (สมัยละโว้) ขุนศรีเมืองมาน ขุนหลวงพระงั่ว (สมัยพ่อขุนรามกำแหง) นายอำไพ ลูกชายเศรษฐีกองแก้วและปิ่นทอง ลูกชายแม่ทัพ ของสมเด็จพระอินทราธิราช ขุนแผน ลูกขุนไกร พระบรมไตรโลกนาถ พระยาโกษาเหล็ก พระยาศรีสิทธิสงคราม ขุนดาบพระเจ้าตากสิน
ข้อมูลนี้จากหนังสือ วันสวรรคตของ 66 กษัตริย์ โดย พิมาน แจ่มจรัส
".....ราตรีจักใกล้รุ่ง นางก็เห็นในนิมิตฝันว่ายังมีช้างเผือกตนหนึ่ง มายืนอยู่ยังบริเวณบ้านที่นั้นก็ผ่านเวียงล่องไปทางใต้ ครั้นพ้นเวียงแล้วก็ไปไล่กวดแทงคนทั้งหลายแตกตื่น แล้วนางก็สะดุ้งขึ้นตกใจกลัว นางก็ไปเล่าให้เจ้าตนเป็นสามีฟังทุกประการ ครั้นว่าพระยาได้ยินคำแล้วก็รำพึงกล่าวว่า สัตว์ตัวมีบุญจักมาเกิดในท้องแห่งนางพึงมีฉะนั้นแล นางจงรักษาครรภ์แห่งนางให้ดีเทอญ ว่าดังนั้นแล้วนางก็ทรงครรภ์แต่นั้นไปถึง 7 เดือน ดั่งนั้น นางก็มักได้เครื่องศาสตราวุธทั้งหลายก็จึ่งไปไหว้ขอพระยาตนเป็นผัวให้เอาช่างเหล็กมาแปลงเครื่องทั้งหลาย ส่วนพระยาตนเป็นผัวก็กระทำตามคำแห่งนาง เอาช่างเหล็กทั้งหลายมาตีแปลงเครื่องศาสตราวุธทั้งหลาย เป็นต้นว่า ดาบตาว และหอกซัดสีนาด ปืนไฟ ทั้งมวลแล้วแต่นั้น 7 เดือน นางก็อยากกินยังเลือดขอมดำติดคมดาบ...."
ที่พรรณาข้อความตอนทรงครรภ์มามากมายเช่นนี้ คงต้องการเสริมอภินิหารมากกว่าอย่างอื่น ตำนานต้องการจะชี้ให้เห็นว่า บุคคลลงจะเป็นนักรบแล้ว ย่อมมีเหตุย่อมมีลาง
"....ยามรุ่งแจ้ง ครรภ์นางเต็มทศมาสได้ 10 เดือนแล้ว นางก็ประสูติได้ลูกชายผู้หนึ่งเกิดมาวีวรรณเนื้อตนอันหมดจดหามลทินมิได้ เป็นดั่งล้างไว้สะอาดแล้ว ครั้งนั้นญาติทั้งหลายฝูงอันมีอยู่ในบ้านศรีทองนั้น และเสนาอำมาตย์พรามหมณ์ปุโรหิตก็มารับเอาแล้วเบิกบายนามกร เอานิมิตอันนามเหนือนดั่งพรหมมาเกิดนั้นจึ่งใส่ชื่อว่า พรหมกุมาร นั้นแล แต่นั้นไปภายหน้า พรหมกุมารก็ขึ้นใหญ่มาได้ 7 ปี หาพญาธิโรคามิได้ กุมารก็มีใจใคร่ได้ยังเครื่องศาสตราวุธทั้งหลาย ก็เข้าไปอ้อนวอนขอยังพระราชบิดา ให้เอาช่างเหล็กทั้งหลายมาแปงแล กาลนั้นพระยาตนพ่อก็กระทำตามคำลูกแห่งตนทุกประการ เอาช่างทั้งหลายมาตีหอกดาบสีนาด ปืนไฟทั้งมวลทุกปีบ่อมิได้ขาด ตลอดถึงอายุกุมารได้ 12 ขวบแล้ว...."
ต่อจากนั้น ก็มีการบรรยายความฝันของพระเจ้าพรหมว่าได้ไปยังแม่น้ำ ซึ่งจะมีช้างเผือก 3 ตัวลอยน้ำมา ถ้าได้ตัวแรกก็จะได้ปราบทวีปทั้ง 4 ถ้าได้ตัวสองก็จะได้ชมพูทวีป และถ้าได้ตัวที่สามก็จะได้แคว้นล้านนาและขอมดำทั้งหมด พรหมกุมารเมื่อตื่นจากฝัน ก็ชักชวนเด็ก ๆ ไปเป็นเพื่อนถึง 50 คน ตัดเอาขอนไม้ไปนั่งคอยอยู่ริมน้ำ ต่อมามีงูใหญ่ตัวหนึ่งลอยผ่านมา พรหมกุมารและพรรคพวกซึ่งนั่งคอยทีก็สะดุ้งตกใจกลัว จนงูใหญ่นั้นพ้นไป ต่อมามีงูใหญ่อีกตัวหนึ่งเท่าต้นตาลลอยผ่านมาอีก พรหมกุมารและพวกเด็ก ๆ ก็พากันสะดุ้งหวาดกลัวอีก จนงูใหญ่นั้นลับตาไป
คราวนี้พรหมกุมารได้คิดว่าที่ฝันว่าช้างเผือกนั้น คงจะเป็นงูเสียมากกว่าจึงปรึกษาพรรคพวก แล้วตกลงกันว่าถ้ามีงูใหญ่ผ่านมาอีกตัวหนึ่งก็จะช่วยกันจับ
ต่อมาอีกครู่หนึ่ง งูตัวที่สามก็ผ่านมา พรหมกุมารและเด็กทั้ง 50 คนก็ช่วยกันจับไว้ได้ งูก็กลายเป็นช้างเผือกขึ้นมาทันที สถานที่ช้างทวนน้ำเรียกกันว่าความทน และช้างตัวนั้นก็ได้นามว่า ช้างพานคำ
หลังจากนั้น พรหมกุมารก็ส่งคนไปสืบความลับทางเมืองขอมดำ ส่วนทางพระองค์เองนั้น โปรดให้มีการฝึกกำลังรบ และหัดช้างมงคลตัวนั้นตลอดมา จวบจนมีพระชนมายุ 16 พรรษา ก็ดำรัสสั่งมิให้ส่งส่วยแก่พระยาขอมดำเป็นเวลาถึงสามปี
พระยาขอมดำจึงดำรัสสั่งให้ระดมพลด่วน ข่าวนี้ทราบมาถึงพรหมกุมาร จึงรวบรวมพลไว้ประมาณหนึ่งแสนคน ยกออกจากเวียงพานคำ ไปประจันหน้ากับทัพขอมที่กลางทุ่งสันทราย
"....ครั้งนั้น พระยาขอมดำปรารถนาจักต่อรบกับพรหมกุมาร ก็ไปทันรบช้างที่นั่น พระยาขอมดำนั้นก็เห็นช้างมงคลพานคำในที่นั้น อันพรหมกุมารเจ้าขี่อยู่นั้น พระยาขอมดำก็มีความสะดุ้งตกใจหวั่นไปทั้งตัว แล้วก็หันหน้ากลับด้นวิ่งไปครั้งนั้น หมู่ช้างแห่งพระยาขอมดำทั้งหลายก็แตกตื่นเหยียมย่ำหัวขอมดำทั้งหลายตายมากนัก แตกกระจัดกระจายพ่ายหนีไปสู่เสียง ส่วนพระเจ้าพรหมกุมารก็ขี่ช้างพาคนหาญเลยไปกำจัดขอม ใปตลอดถึงเวียงโยนกนครนั้นแล พระยาขอมดำก็พาลูกน้องเข้าไปในเวียง แล้วปิดประตูเวียงเสียทุกแห่ง ครั้นพรหมกุมารเจ้าก็ไสช้างพานคำเข้าแทงประตูเวียงทะลุ เข้าไปกำจัดขับไล่พระยาขอมในเวียงที่นั้น ผู้คนบ่าวไพร่แห่งพระยาขอมดำก็ฉิบหายตายมากนักแล...."
พระเจ้าพังก็เสด็จขึ้นครองเมืองโยนกนครตามเดิม แล้วโปรดให้พรหมกุมารเป็นอุปราช แต่พรหมกุมารมิได้รับกลับมอบให้ทุกขิตผู้เป็นเชษฐา ส่วนพระองค์กลับเสด็จไปสร้างเมืองใหม่ตั้งชื่อว่า เวียงไชยปราการ (ปัจจุบันเป็นอ.ฝาง จ.เชียงใหม่)
ท่านผู้รู้บางท่านจึงยกย่องพรหมกุมารว่าเป็นปฐมกษัตรติย์ของไทย เป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์แรกที่ทรงสถาปนาอาณาจักรไทยขึ้นใน พ.ศ. 1400 และเป็นมหาราชพระองค์แรกของชาติไทย
หลังจากพระเจ้าพังสิ้นพระชนม์แล้ว เจ้าทุกขิตโอรสก็ได้ราชสมบัติ เมื่อพระยาทุกขิตสิ้นพระชนม์ พระองค์มหาวรรณก็ได้ราชสมบัติ ส่วนพระเจ้าพรหมก็ทรงครองเวียงไชยปราการต่อไป กษัตริย์โยนกจึงแยกเป็น 2 สายตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าพรหมเสวยราชย์ในเวียงไชยปราการจนพระชนมายุได้ 77 พรรษาก็สิ้นพระชนม์