พระเทวัญอำนวยเดช
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นาวาอากาศโท พระเทวัญอำนวยเดช (เสรี สุวรรณานุช) เป็นนายทหารนักบินไทยในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และอธิบดีกรมสหกรณ์ที่ดินคนแรก เดิมชื่อ "หลี" เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๓๘ ณ บ้านเลขที่ ๖ ตำบลบางเลน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่ ๔ ในจำนวนบุตรธิดาทั้งหมด ๔ คน ของนายคำและนางยวง สุวรรณานุช
ภายหลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในปีพุทธศักราช ๒๔๕๗ ได้รับพระราชทานยศให้เป็นนายร้อยตรีแล้ว ได้เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้บังคับหมวดในกองร้อยที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๓
พุทธศักราช ๒๔๖๐ ได้สมัครเข้าเป็นกองทหารอาสาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเข้าร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในตำแหน่งนายร้อยโท ผู้บังคับหมวดในกองย่อยรถยนต์ กองใหญ่รถยนต์ที่ ๔
พุทธศักราช ๒๔๖๑ เดินทางไปราชการในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ประจำการ ณ ประเทศฝรั่งเศส และด้วยที่มีใจรักทางการบิน จึงเข้าฝึกเป็นนักบินในโรงเรียนการบินทหารบกและโรงเรียนการทิ้งระเบิดแห่งประเทศฝรั่งเศส
พุทธศักราช ๒๔๖๒ สำเร็จการฝึกเป็นนักบิน เข้าประจำการในกองทัพยึดดินแดนเมืองนอยสตาดท์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทำหน้าที่เป็นนักบินและผู้ทิ้งลูกระเบิด โดยปฏิบัติการอยู่ประมาณ ๔ เดือน เมื่อสงครามสงบได้เดินทางกลับประเทศไทยแล้วย้ายสังกัดไปอยู่ กรมอากาศยานทหารบก ในตำแหน่งผู้บังคับหมวด กองศึกษาและฝึกหัด กองบินใหญ่ที่ ๓ ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งกรมอากาศยานทหารบกนี้ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมอากาศยาน” และได้มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนขยายหน่วยงานจนได้รับการยกฐานะเป็น “กองทัพอากาศ” ในปัจจุบัน
พุทธศักราช ๒๔๖๔ ได้รับพระราชทานยศให้เป็นเรืออากาศเอก ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับกองศึกษาและฝึกหัด กองบินใหญ่ที่ ๓
พุทธศักราช ๒๔๖๗ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงเทวัญอำนวยเดช” และเป็นผู้รั้งตำแหน่งปลัดกองบินใหญ่ที่ ๓
พุทธศักราช ๒๔๖๘ เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บังคับกองบินใหญ่ที่ ๓
พุทธศักราช ๒๔๖๙ เป็นผู้บังคับกองบินน้อยที่ ๒ กองบินใหญ่ที่ ๓
พุทธศักราช ๒๔๗๓ ประจำกองอากาศยานเพื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
พุทธศักราช ๒๔๗๔ ได้รับพระราชทานยศให้เป็นนาวาอากาศโท
พุทธศักราช ๒๔๗๕ เข้าศึกษาในโรงเรียนการบินขั้นสูง และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระเทวัญอำนวยเดช”
พุทธศักราช ๒๔๗๖ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้ากรมอากาศยาน ฝ่ายธุรการ และได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองกรณี “กบฏบวรเดช” มีการใช้กำลังทหารต่อสู้กันระหว่างฝ่ายของ พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช กับฝ่ายรัฐบาลของคณะราษฎร เป็นผลให้นาวาอากาศโท พระเทวัญอำนวยเดช ต้องพ้นจากราชการ และเปลี่ยนฐานะเป็น “นักโทษการเมือง”
ต่อมา พุทธศักราช ๒๔๘๐ ได้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองในกรณีดังกล่าว และพิจารณาให้กลับเข้ารับราชการ โดยให้ไปเป็นข้าราชการพลเรือนปฏิบัติงานในกระทรวงทบวงกรมอื่น
พุทธศักราช ๒๔๘๑ ได้รับบรรจุเป็นเสมียนพนักงาน กองสหกรณ์ภาคใต้ กรมสหกรณ์ แล้วเข้าศึกษาในโรงเรียนการอบรมกรมสหกรณ์ที่ดิน หลังจากนั้นได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพนักงานสหกรณ์จัตวา กองควบคุมสหกรณ์ กรมสหกรณ์
พุทธศักราช ๒๔๘๒ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพนักงานสหกรณ์ตรี กองควบคุมสหกรณ์ กรมสหกรณ์ ปฏิบัติหน้าที่ประจำเขตอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
พุทธศักราช ๒๔๘๙ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองขยายการสหกรณ์ กรมสหกรณ์
พุทธศักราช ๒๔๙๔ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองสหกรณ์นิคม กรมสหกรณ์
พุทธศักราช ๒๔๙๕ ได้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศปรับปรุงการจัดตั้งกระทรวงทบวงกรม ให้มีการจัดตั้งกระทรวงการสหกรณ์ขึ้น และมี กรมสหกรณ์ที่ดิน เป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัด โดย นาวาอากาศโท พระเทวัญอำนวยเดช ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการในตำแหน่งอธิบดี
พุทธศักราช ๒๔๙๖ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสหกรณ์ที่ดิน โดยนับเป็นอธิบดีคนแรกเมื่อมีการประกาศแบ่งส่วนราชการนี้ขึ้น (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อหน่วยงานเป็น "กรมส่งเสริมสหกรณ์" สังกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
พุทธศักราช ๒๕๐๑ เกษียณอายุราชการเพื่อรับบำนาญ
ในตอนปลายของชีวิต นาวาอากาศโท พระเทวัญอำนวยเดช ใช้เวลาอยู่กับการปลูกและดูแลต้นไม้ซึ่งเป็นสิ่งที่รักเป็นชีวิตจิตใจ ต่อมาสุขภาพทรุดโทรมลง และเริ่มมีอาการป่วยจนถึงแก่กรรมในที่สุดจากเหตุตับวาย ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๑๔ เวลา ๑๙.๐๕ นาฬิกา สิริอายุ ๗๖ ปี ๖ เดือน จัดการพระราชทานเพลิงศพ ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร ราชวรวิหาร เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๖
สารบัญ |
[แก้] ประวัติการศึกษา
- พุทธศักราช ๒๔๔๙ ได้เริ่มเข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ จนจบการศึกษาสายสามัญ
- พุทธศักราช ๒๔๕๕ เข้าศึกษาวิชาทหารที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
- พุทธศักราช ๒๔๕๗ เข้าศึกษาในโรงเรียนแม่นปืนทหารราบ
- พุทธศักราช ๒๔๖๑ โรงเรียนการบินทหารบกและโรงเรียนการบินทิ้งระเบิดแห่งประเทศฝรั่งเศส
- พุทธศักราช ๒๔๗๓ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
- พุทธศักราช ๒๔๗๕ โรงเรียนการบินชั้นสูง
- พุทธศักราช ๒๔๘๑ โรงเรียนการอบรมสหกรณ์ที่ดิน
- พุทธศักราช ๒๔๙๙ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
[แก้] ผลงาน
- พุทธศักราช ๒๔๖๐ ได้รับรางวัลอินทรธนูทองคำหนัก ๓ บาท เป็นอินทรธนูใหญ่ อักษร ร. ๓ จากกรมทหารราบที่ ๓ ในฐานะที่ทำการฝึกและอบรมทหารได้ยอดเยี่ยมเป็นปีที่ ๒
- พุทธศักราช ๒๔๖๓ ได้คิดประดิษฐ์ลูกระเบิดฝึกขึ้นใช้ในกรมอากาศยานเป็นครั้งแรก เพื่อใช้ฝึกหัดนักบินทิ้งระเบิด โดยใช้ซีเมนต์ โลหะ และดินระเบิดควัน มาผสมกัน เมื่อทิ้งจากเครื่องบินสามารถระเบิดได้ ทำการทดลองครั้งแรกที่บริเวณกองบินใหญ่ที่ ๓ ต่อหน้าพระพักตร์ พลโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช พร้อมด้วยเหล่าทหารม้า และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ลูกระเบิดฝึกหัดนี้ได้ถูกนำไปใช้งานในกรมอากาศยานอยู่เป็นเวลานาน
- พุทธศักราช ๒๔๖๔ ได้รับรางวัลของกระทรวงกลาโหมจากผลงานการเรียบเรียงตำรา เรื่อง สมุดคำแนะนำการทิ้งลูกระเบิด และได้แสดงการบินทิ้งลูกระเบิดฝึกที่ประดิษฐ์ขึ้นที่บริเวณสนามบินดอนเมืองหน้าที่ประทับ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ให้ทรงทอดพระเนตรสองครั้ง โดยครั้งแรกมีข้าหลวงเทศาภิบาลและสมุหเทศาภิบาลทุกมณฑลเข้าร่วมชม และครั้งที่สองมีพ่อค้าประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชม ต่อมา ได้แสดงการบินทิ้งระเบิดโดยใช้ลูกระเบิดฝึกที่กองบินใหญ่ที่ ๓ จังหวัดนครราชสีมา หน้าที่ประทับจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรฯ อีกครั้งหนึ่ง แล้วได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้แสดงการบินทิ้งระเบิดในระยะสูง ๑,๐๐๐ เมตร เฉพาะหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ สถานที่เดียวกันนี้อีก
- พุทธศักราช ๒๔๖๕ เป็นหัวหน้านักบินนำเครื่องบินไปบินแสดงและรับผู้โดยสาร เพื่อประชาสัมพันธ์กิจการบิน ในจังหวัดภาคอีสาน ยกเว้น ๕ จังหวัด คือ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และสุรินทร์ เนื่องจากจังหวัดดังกล่าวยังไม่มีสนามบิน หรือมี แต่ประชาชนคุ้นเคยกับการบินดีอยู่แล้ว เครื่องบินที่จัดไปบินแสดง มีอาทิ เครื่องแบบเบรเกต์ ชื่อ หญิงขอนแก่น ๑ ซึ่งเป็นเครื่องบินพยาบาลและบรรทุกผู้โดยสาร ที่สุภาพสตรีในจังหวัดขอนแก่นได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์ประมาณ ๕๐,๐๐๐ บาท มอบให้กรมอากาศยานจัดหาไว้ใช้งาน
- พุทธศักราช ๒๔๗๐ ได้ทำการบินเดินทางในเวลากลางคืน ซึ่งในสมัยนั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากยังไม่มีระบบนำร่องและเครื่องช่วยเดินอากาศที่เหมาะสม แต่ได้ทำการบินจนเป็นผลสำเร็จ นับเป็นนักบินไทยคนแรกที่ขึ้นทำการบินในเวลากลางคืนในเส้นทางจากสนามบินดอนเมือง บินเหนือกรุงเทพ ฯ สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม
- พุทธศักราช ๒๔๗๑ ทำการบินจากสนามบินดอนเมืองไปยังจังหวัดเชียงราย ในการปฏิบัติภารกิจบินถ่ายรูปทำแผนที่โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อประกอบการทำอนุสัญญาปักปันแนวเส้นเขตแดนและการแบ่งเกาะแก่งต่าง ๆ ในแม่น้ำโขง ให้ถูกต้องตามหลักสากล โดยเริ่มจากตำบลสบรวกซึ่งเป็นเขตแดนรอยต่อระหว่างไทยกับอาณานิคมของฝรั่งเศสและอังกฤษ จนถึงอำเภอปากท่า ในเขตของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน
[แก้] หน้าที่พิเศษ
- พุทธศักราช ๒๔๘๔ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น และกองทัพญี่ปุ่นบุกขึ้นฝั่งประเทศไทย ในเช้าวันที่ ๘ ธันวาคม รัฐบาลไทยได้ทำสัญญาสงบศึกและลงนามในสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับกองทัพญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร นาวาอากาศโท พระเทวัญอำนวยเดช ขณะรับราชการเป็นพนักงานสหกรณ์ กองควบคุมสหกรณ์ กรมสหกรณ์ ปฏิบัติหน้าที่ประจำเขตอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี จึงได้ปฏิบัติหน้าที่พิเศษเป็นกรรมการอำนวยการป้องกันภัยทางอากาศ เทศบาลอำเภอโพธาราม และเป็นหัวหน้าหน่วยดับเพลิง อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
- ปีพุทธศักราช ๒๔๘๘ เมื่อมีการแพร่ขยายของขบวนการเสรีไทย ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่พิเศษโดยรับเป็นที่ปรึกษาการปฏิบัติการตามแผนการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในเขตอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เพื่อขัดขวางไม่ให้มีการรวมกำลังกันระหว่างกองทหารญี่ปุ่นจากเขตอำเภอบ้านโป่งและอำเภอเมือง แต่ยังไม่ทันลงมือปฏิบัติการ กองทัพญี่ปุ่นก็ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรเสียก่อน
[แก้] อ้างอิง
- กลาโหม, กระทรวง. การทหารสมัยกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพมหานคร : mod.go.th, ๒๕๔๗. สืบค้นเมื่อ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๗, จาก http://www1.mod.go.th/heritage/nation/military /military1/index10.htm.
- ตรวจบัญชีสหกรณ์, กรม. ประวัติความเป็นมาของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์. กรุงเทพมหานคร : cad.go.th, ๒๕๔๗. สืบค้นเมื่อ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๗, จาก http://www.cad.go.th /king_50/page4-2.html.
- “เทวัญอนุสรณ์.” ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ นาวาอากาศโท พระเทวัญอำนวยเดช ท.ช. (เสรี สุวรรณานุช). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อักษรสมัย, ๒๕๑๖.