ภาษีมูลค่าเพิ่ม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax - VAT) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า แวต เป็นภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการ โดยจัดเก็บเฉพาะจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิต การจำหน่ายหรือการให้บริการ ตัวอย่างเช่น สมมติว่าอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ซื้อวัตถุดิบ วัสดุอุปกรณ์มา 100 บาท และมีภาษีซื้อ 10 บาท เมื่อผลิตเป็นสินค้าขายในราคา 150 บาท ตอนขายไปจะต้องคิดภาษีขาย 15 บาท ดังนี้ ก็จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะผลต่างจำนวน 15-10 = 5 บาท เท่านั้น ถ้าการซื้อ และขายเกิดขึ้นภายในรอบการจ่ายภาษีเดียวกัน.
สารบัญ |
[แก้] ประวัติ
ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535 ประเทศไทยได้เริ่มมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นครั้งแรก
การนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้เป็นผลมาจากเหตุผลในทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ จากการที่เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว ฐานะทางเศรษฐกิจการเงินการคลังของประเทศมั่นคงขึ้นมาก ในขณะที่มีการกล่าวถึงความไม่เหมาะสมของโครงสร้างภาษีการค้าต่อเศรษฐกิจของประเทศ อันได้แก่ความซ้ำซ้อนของระบบภาษีการค้าที่เป็นอยู่ และความหลากหลายของโครงสร้างอัตราภาษีนอกจากความบกพร่องของระบบภาษีการค้า ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตแล้ว ความต้องการเปลี่ยนแปลงระบบภาษีของทางการ ยังสืบเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านภาษีอากรอีกด้วย กล่าวคือ ความสามารถในการหารายได้ของรัฐผ่านเครื่องมือทางภาษีการค้าและภาษีศุลกากรได้ลดน้อยลงเป็นลำดับ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กระทรวงการคลัง จึงได้เสนอพิจารณายกเลิกภาษีการค้า และนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน โดยภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะมีอัตราเดียวที่ใช้กับสินค้าและบริการทุกชนิด สำหรับสินค้าใดที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่จะเก็บสูงกว่าอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติมจากภาษีมูลค่าเพิ่ม
การนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้นี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อระบบภาษีอากรของประเทศไทยเป็นการปฏิรูปภาษีการค้าครั้งใหญ่ ทำให้ระบบภาษีอากรของประเทศมีความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเอื้ออำนวยต่อการลงทุนการส่งออก และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มไม่มีความซ้ำซ้อนของภาระภาษีดังเช่นภาษีการค้า นอกจากนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้เกิดความเป็นธรรมและความสะดวกต่อการปฏิบัติตามของผู้เสียภาษีอีกด้วย
[แก้] อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศต่างๆ
[แก้] ประเทศนอกสหภาพยุโรป
ประเทศ | อัตรา | |
---|---|---|
มาตรฐาน | Reduced | |
อาร์เจนตินา | 21% | 10.5% หรือ 0% |
ออสเตรเลีย | 10% | |
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา | 17% | |
บัลแกเรีย | 20% | |
แคนาดา | 7% หรือ 15% | 4.5% |
ชิลี | 19% | |
จีน | 17% | 6% หรือ 3% |
โครเอเชีย | 22% | 0% |
สาธารณรัฐโดมินิกัน | 6% | 12% หรือ 0% |
เอกวาดอร์ | 11% | |
ไอซ์แลนด์ | 24.5% | 14% |
อินเดีย | 12.5% | 4%, 1%, หรือ 0% |
อิสราเอล | 16.5% | |
ญี่ปุ่น | 5% | |
มาเลเซีย | 5% | |
เม็กซิโก | 15% | 0% |
นิวซีแลนด์ | 12.5% | |
นอร์เวย์ | 25% | 11% หรือ 7% |
ฟิลิปปินส์ | 10% | |
โรมาเนีย | 19% | 9% |
รัสเซีย | 18% | 10% หรือ 0% |
เซอร์เบีย | 18% | 8% หรือ 0% |
สิงคโปร์ | 5% | |
แอฟริกาใต้ | 14% | 7% หรือ 4% |
เกาหลีใต้ | 10% | |
ศรีลังกา | 15% | |
สวิตเซอร์แลนด์ | 7.6% | 3.6% หรือ 2.4% |
ไทย | 7% | |
ตุรกี | 18% | 8% หรือ 1% |
ยูเครน | 20% | 0% |
เวเนซุเอลา | 16% | 8% |
[แก้] ประเทศในสหภาพยุโรป
ประเทศ | อัตรา | |
---|---|---|
มาตรฐาน | Reduced | |
ออสเตรีย | 20% | 12% หรือ 10% |
เบลเยียม | 21% | 12% หรือ 6% |
ไซปรัส | 15% | 5% |
สาธารณรัฐเช็ก | 19% | 5% |
เดนมาร์ก | 25% | |
เอสโตเนีย | 18% | 5% |
ฟินแลนด์ | 22% | 17% หรือ 8% |
ฝรั่งเศส | 19.6% | 5.5% หรือ 2.1% |
เยอรมนี | 19% | 7% |
กรีซ | 19% | 8% หรือ 4% |
ฮังการี | 20% | 15% หรือ 5% |
ไอร์แลนด์ | 21% | 13.5% หรือ 4.8% |
อิตาลี | 20% | 10%, 6%, หรือ 4% |
ลัตเวีย | 18% | 5% |
ลิทัวเนีย | 18% | 9% หรือ 5% |
ลักเซมเบิร์ก | 15% | 12%, 9%, 6%, หรือ 3% |
มอลตา | 18% | 5% |
เนเธอร์แลนด์ | 19% | 6% |
โปรตุเกส | 21% | 12% หรือ 5% |
โปแลนด์ | 22% | 7% หรือ 3% |
สโลวาเกีย | 19% | |
สโลวีเนีย | 20% | 8.5% |
สเปน | 16% | 7% หรือ 4% |
สวีเดน | 25% | 12% หรือ 6% |
สหราชอาณาจักร | 17.5% | 5% |